สมุนไพรอาหารเสริมท่านชายและอาหารเสริมบำรุงร่างกาย ที่จำหน่ายผ่านเว็บไวต์หลักของเรา

สมุนไพรท่านชาย เพิ่มขนาดแก้หลั่งเร็ว www.doublemaxx.com www.doublemaxxx.com www.superd-maxxx.com www.doublemaxx.com.co www.superdmaxxx.com www.superdmaxx.com  www.turbo-max.com www.turbomax.org www.turbomax.biz www.climaxx.org www.cli-maxx.com www.hengheng1.com www.เฮงเฮง-1.com www.เฮงเฮง.com www.ดับเบิ้ลแม็ก.com www.ดับเบิ้ลแม็กซ์.com www.ซุปเปอร์ดีแม็ก.com www.ซุปเปอร์ดีแม็กซ์.com www.ซุปเปอร์แม็กซ์.com www.ไคล์แม็กซ์.com www.อาหารเสริมชาย.com www.bb-maxx.com www.doublemaxx.net www.double-maxxx.com www.turbomaxx.com www.twoup-by-turbomax.com www.racehorsewaidena.com www.วีเอ็มพลัส.com www.บีบีแม็กซ์.com www.เพิ่มขนาดท่านชาย.COM www.vmplus.net www.turbomax.in.th www.sizemaxx-gold.com www.เทอร์โบแม็ก.com

สมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกันรักษาโรค www.ไบโอวัน.com www.สาหร่ายแดง.com www.แอสต้าเอ็กซ์.com www.bl-99.com www.บีแอล-99.com www.ไบโอแอสติน.com www.vitacelgold.com www.bl99.org www.bl99.info www.bl99.biz www.ทวนทอง99.com www.ไวต้าเซลโกลด์.com www.เห็ดหลินจือเนเจอร์พลัส.com www.สาหร่ายแดงไบโอวัน.com www.แอสต้าเอกซ์.com

 


วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคนิคการทำโฆษณาหาสินค้าและคีร์เวิร์ดที่ขายได้ภายใน10คลิก[Amzon]

เริ่มเลยนะครับ ขั้นตอนง่ายๆสำหรับการทำเงินแล้วได้ผลภายใน 10 คลิก [ เหมาะกับคนที่เคยทำมาบ้าง]เข้า ไปที่หน้าสินค้า amazon ครับ แล้วให้คลิกที่คำว่า shop all departments ข้างบนมุมช้ายมือครับ แล้วให้เลือกสินค้าที่ต้องการขาย ที่ขายดีจะเป็นพวก Books, Electronics, Apparel, toys & gamesfurniture ครับ แล้วคลิกเลือกสินค้าที่ต้องการครับ เช่น เลือก gps ครับ คลิกเข้าไป หลังจากนั้นก็ให้คลิกที่ คำว่า GO มุมขวาบนวงกลมสีส้มเลยครับ เราก็จะเจอสินค้ามากมาย

เปลี่ยนสินค้า 10,000 ชิ้นใน Clickbank ให้เป็นของเราใน 5 นาที!!!!!

ข้อดีของที่นี่ก็คือ เมื่อเราสมัครเป็นสมาชิกแบบฟรี!! เราจะได้รับหน้า landing page ซึ่งจะเปลี่ยนสินค้าจากทาง Clickbank.com ทั้งหมดให้กลายเป็นสินค้าของเรา!!!! และเรายังสามารถลง Code Adsense ให้ด้วย หน้าตาของมันจะเป็นประมาณนี้นะครับ
หัวหน้าแก๊งเสียว
เปลี่ยนสินค้า 10,000 ชิ้นใน Clickbank ให้เป็นของเราใน 5 นาที!!!!!ชม VDO บรรยายไทยเทคนิคเรื่องนี้ได้ที่

การชำระเงินค่าโฆษณา Google AdWords ผ่านธนาคารกรุงเทพ

การชำระเงินค่าโฆษณา Google AdWords ผ่านธนาคารกรุงเทพ
แรกเริ่มเดิมทีนั้น การทำโฆษณา Google AdWords เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อ เรามีบัตรเครดิต
หรือ บัตรเดบิต ที่ทาง Google สามารถตัดเงินค่าโฆษณาได้ โดยส่วนมากแล้ว
วิธีการจ่ายเงินที่คนทั่วไปเลือกก็คือ แบบ Post Pay หรือ โฆษณาก่อนจ่ายทีหลัง
เพราะเท่ากับว่าเราได้เงินมาหมุนก่อนนั่นเอง
ซึ่งทำให้คนที่ไม่มีบัตรเครดิต ไม่สามารถเริ่มต้นทำโฆษณาได้

รวม social bookmark เพื่อใช้โปรโมทเว็บของคุณ

เกือบทั้งหมดเป็นของพี่น้องในไทยเสียวของเรานี่แหละครับ
หากตกหล่นของท่านใดต้องขออภัยและแจ้งมาได้เลยครับ
เล็ฟฮิทระบบจัดเก็บบทความ บล็อก เว็บไซต์ที่น่าสนใจ (Social Bookmark) และสามารถแบ่งปันข้อมูลให้คนอื่นอ่านได้http://www.lefthit.com
เอซีนบล็อกระบบจัดเก็บบทความจากเว็บไซต์ หรือบล็อกต่างๆ เพื่อนำเสนอในรูปแบบนิตยสารออนไลน์ในระบบบุ๊คมาร์คhttp://azineblog.jpata.com

รวม Forum

ของไทย - http://www.th2.net/forum/ (PR 5) << เกี่ยวกับคอมพ์- http://forum.sanook.com (PR 5)- http://webboard.hunsa.com/ (PR 4)ของนอก- http://www.flickr.com/help/forum/en-us/ (PR 9)- http://forums.adobe.com (PR 9)- http://forum.joomla.org/ (PR 8 )- http://wordpress.org/support/ (PR 8 )- http://answers.yahoo.com/dir/;...=3?link=list&sid=396545660 (PR 7)- http://stackoverflow.com/ (PR 7 )- http://forums.myspace.com/ (PR 7)- http://www.webhostingtalk.com/ (PR 7)- http://forums.mysql.com/ (PR 7)-

การเลือกสินค้าและเปรียบเทียบราคาของ Amazon

การทำ Affiliate ให้กับเว็บไซต์ที่มีสินค้าประเภท Consumer Product หลากหลาย ชนิดอย่าง Amazon นั้น วิธีและขั้นตอนในการเลือกสินค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะยิ่งเราเลือกสินค้าที่ดีมาทำโฆษณาได้เท่าไหร่ เรายิ่งมีโอกาสทำกำไรได้ง่ายขึ้นเท่านั้นครับ และสิ่งที่เราควรจะทำก่อนตัดสินใจเลือกสินค้าชิ้นหนึ่งๆ มาทำโฆษณาก็คือ การเปรียบเทียบราคาสินค้าชิ้นนั้นกับท้องตลาดเพื่อดูว่า ราคาที่ขายใน Amazon เมื่อเทียบกับ ราคาที่ขายบนเว็บไซต์อื่นๆแล้ว มากน้อยกว่ากันอย่างไร ถ้าหากเปรียบเทียบกันแล้ว สินค้าใน Amazon มีราคาถูกกว่า ที่วางขายในเว็บไซต์อื่นๆทั้งหมด (ที่วางขายตามห้างไม่ต้องพูดถึง เพราะ Amazon ถูกกว่าเยอะอยู่แล้ว) ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่ดีมาก ในการนำสินค้าชิ้นนี้มาทำโฆษณา เพราะว่า คนทั่วอินเตอร์เน็ตจะต้องแห่มาซื้อสินค้าชิ้นนี้จากใน Amazon ครับ แต่ถ้าหากว่ามีบางเว็บไซต์ที่ขายสินค้าราคาถูกกว่า Amazon ก็ให้เราดูด้วยว่าสินค้าที่สั่งจากเว็บไซต์นั้น คิดค่าส่งด้วยหรือเปล่า ถ้าคิดก็ต้องนำมารวมด้วยก่อนจะไปเทียบกับ Amazon และให้ดู Review ของคนที่เคยซื้อสินค้าจากเว็บไซต์นั้นๆ ว่า ดีแค่ไหน ครับ เพราะส่วนมาก ถ้าหากถูกกว่ากันนิดหน่อย แต่ว่าเว็บไซต์ที่ราคาถูกกว่านั้น บริการไม่ดี ไม่น่าเชื่อถือ คนก็จะมาซื้อกับ Amazonครับ แต่ถ้าหากว่าเว็บไซต์ที่ขายราคาถูกกว่าเป็นเว็บชื่อดังอย่างพวก CircuitCity ก็ให้ระวังๆ ไว้นิดนึงครับ เพราะคนอาจจะแห่กันไปซื้อจากเว็บไซต์เหล่านั้นได้ครับ สำหรับการเปรียบเทียบราคาสินค้านั้น เราสามารถเข้าไปเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ด้วยเว็บไซต์เหล่านี้ครับ1. PriceScanเพียงแค่พิมพ์ชื่อยี่ห้อ ชื่อรุ่นสินค้าลงไป เราก็จะทราบได้ทันทีว่า สินค้านี้มีวางขาย อยู่ที่เว็บไซต์ไหนอีกบ้าง และ แต่ละเว็บไซต์ขายราคาเท่าไหร่ รวมทั้งดูได้ด้วยว่า ส่งสินค้าฟรีหรือเปล่าครับ นอกจากนั้น เรายังสามารถเข้าไปดูกราฟ แนวโน้มราคาได้ว่า เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เพื่อนำไปวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการทำกำไร และใช้ในกลยุทธการตั้งราคาบิดได้ครับ 2. Google Productยี่ห้อ Google ก็การันตีความเจ๋งได้ระดับนึงครับ เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งรวมของสินค้าต่างๆ ที่มีวางขายอยู่บนอินเตอร์เน็ต ที่ให้ผู้ขายสามารถเข้ามาเขียนแนะนำสินค้าได้ฟรี ดังนั้นเว็บไซต์จำนวนมากจึงมาเขียนแนะนำสินค้าไว้ที่นี่ ซึ่งเราก็เลยสามารถนำมาทำการค้นหา สินค้าที่เราต้องการได้ด้วยเช่นกันว่าสินค้านี้มีวางขายที่ไหนอีกบ้าง และขายในราคาเท่าไหร่ มีคนพูดถึงเว็บไซต์ที่ขายว่าอะไรบ้าง 3. mPireเป็นอีกเว็บนึ่งที่น่ารัก และให้ข้อมูลที่ดี กล่าวคือ เว็บไซต์นี้นอกจากจะบอกว่าสินค้ามีวางขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่แล้ว ยังจะบอกให้เราทราบด้วยว่า สินค้าชิ้นนี้มีคนประมูลที่ eBay ได้ในราคาประมาณเท่าไหร่ รวมทั้งเราสามารถดูแนวโน้มราคาสินค้าได้ว่า กำลังขึ้นหรือลง ทำให้ทราบความแรงของสินค้าได้ว่า จะขายดีได้ต่อไปอีกนานแค่ไหนครับแต่เท่าที่คอยเปรียบเทียบราคาสินค้ามาเรื่อยๆ พบว่า ถ้าหากสินค้าที่เราเลือกนั้น เป็นสินค้าที่ขายดีอยู่แล้วใน Amazon (โดยดูจาก Best Sellings,Rating, Review เป็นต้น) ราคาที่ขายใน Amazon นั้น ก็จะไม่ต่างจากที่ขายกันทั่วไปเท่าไหร่ จะถูกแพงกว่ากันก็นิดหน่อย แต่ด้วยแบรนด์ Amazon ก็จะทำให้ขายได้ดีอยู่แล้วครับ

การหา Keywords มาทำโฆษณา Amazon

เนื่องจากถ้าหากเราต้องการทำโฆษณาสินค้า Amazon ผ่านทาง PPC แล้ว การหา Keywords นั้น
เป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญกับเรามากๆ ครับ เราสามารถเปรียบ Keywords ได้กับทรัพย์สินของเรา
เลยทีเดียว เพราะถ้าหากเราหา Keywords ที่ดีมาทำโฆษณาสินค้าและทำกำไรให้เราได้
เราก็จะสบายไปได้ชั่วชีวิตเลยทีเดียว

ทีนี้ Keywords ที่ดี คืออะไร?
คนส่วนมากจะมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก เพราะคนทั่วไปจะคิดว่า Keywords ที่ดี คือ Keywords ที่มี
คนค้นหาเยอะและคลิกเยอะ แต่ความจริงแล้ว Keywords ที่ดี และเหมาะสมในการทำโฆษณาจริงๆ ก็คือ
Keywords ที่มีอัตราคนซื้อสินค้าสูงครับ (Conversion Rate และ ROI สูง) เพราะคงจะไม่มีใครอยากจะให้
โฆษณาของเรามีคนเห็นเยอะ คลิกเยอะ แต่ไม่มีคนซื้อ อย่างแน่นอน ถูกต้องไหมครับ
และเนื่องจากเราได้ค่าคอมมิสชั่นจาก Amazon ประมาณ 4% - 8.5% เท่านั้น
ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้วก็เป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องประหยัดงบโฆษณาให้มากที่สุด
ด้วยการเลือก Keywords ที่มีคนซื้อมากๆครับ (ไม่ใช่คลิกมากๆ แต่ไม่ซื้อ) ซึ่ง Keywords เหล่านั้น
ก็คือ Buying Keywords นั่นเองครับ โดยเราสามารถคิดค้นและค้นหา Buying Keywords เหล่านี้ได้จาก
1. Brain Stormingให้เราทำการสำรวจรายละเอียดต่างๆ ของสินค้า ทั้งหมวดหมู่สินค้า ชื่อรุ่น ชื่อยี่ห้อต่างๆ ที่เราสามารถนำมาใช้เป็น Keywords ได้ ก็ให้นำมาใช้ครับ เพราะ Keywords เหล่านี้ มีเปอร์เซ็นต์ที่คนค้นหาแล้วจะซื้อสูงครับ
2. Keyword Toolsให้เราลองค้นหา Keywords อื่นๆเพิ่มเติม โดยเฉพาะ Keywords ที่คนทำการค้นหาบน Google ด้วยเครื่องมือฟรีที่ทาง Google จัดหามาให้ครับ และแน่นอนให้เราดูด้วยว่า แต่ละ Keywords นั้น มีคนค้นหาต่อวัน ต่อเดือนเป็นจำนวนเท่าไหร่ คุ้มค่าหรือไม่ที่จะนำมาทำโฆษณาครับ
=> https://adwords.google.com/select/KeywordToolExternal
และนอกจากนั้น เราก็ควรจะศึกษาแนวโน้มและความนิยมในแต่ละ Keywords ด้วยว่า Keywords ไหนมีคนค้นหามากน้อย ในช่วงเวลาใดครับ ด้วยบริการฟรีจาก Google อีกเช่นกัน
=> http://www.google.com/insights/search/
3. ทำการสร้างกลุ่ม Keywords ที่จะมีคนซื้อสินค้ามากขึ้น ด้วยการเติมคำต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้า เช่น buy, cheap, best prices, cheap price ลงไปให้กับ Keywords ที่เราเลือกไว้ครับ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะเติมด้วยตนเองก็ได้ แต่ก็อาจจะเสียเวลามากหน่อย หรือเราอาจจะใช้เครื่องมือในการเติมคำเหล่านี้ลงไปก็ได้
=> http://www.keywordcool.com
เพียงเท่านี้ Keywords ที่หามาได้ ก็จะกลายสภาพเป็น Buying Keywords ที่พร้อมจะมีคนซื้อเยอะแล้ว
ให้ลองทำไปทำโฆษณาได้เลยครับ

การเขียนข้อความโฆษณาสินค้าใน Amazon

ข้อความโฆษณานี้ ถ้าหากเราเขียนได้ดี มีคนสนใจและคลิกโฆษณามาก
เราจะยิ่งจ่ายค่าโฆษณาน้อยลงครับ
และอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรทราบก็คือ ยิ่งเราเขียนโฆษณาได้เจาะจงมากเท่าไหร่
ก็จะยิ่งทำให้คนที่คลิกโฆษณาของเรา มีเปอร์เซ็นต์ที่จะซื้อสินค้ามากขึ้นเท่านั้นครับ
ซึ่งส่วนประกอบของโฆษณา PPC โดยทั่วไปก็จะประกอบไปด้วย
Headline, Description, Display URL ซึ่งแต่ละส่วนมีหลักสำคัญๆ ในการเขียนดังนี้

หลักการเขียน Headline
พยายามนำ Keywords ใส่ไว้ใน Headline เสมอๆ เพราะจะทำให้โฆษณาของเราโดดเด่น
สะดุดตา เวลาที่มีคนค้นหา ถ้าเป็นไปได้ ให้เราใส่ชื่อรุ่น หรือ ชื่อสินค้าลงไปด้วย
เพราะจะทำให้ผู้ที่อ่านโฆษณารู้ได้ทันทีว่า สินค้าที่เราทำโฆษณานั้น เป็นสิ่งที่เค้าสนใจหรือเปล่า

หลักการเขียน Description
ใส่รายละเอียดที่เป็นประโยชน์ของสินค้า เพื่อให้คนอ่านตัดสินใจได้ง่ายว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ
เขียนบรรยายถึงลักษณะและคุณภาพของสินค้า เพื่อทำให้คนอ่านเกิดภาพวาดของสินค้าขึ้นในจิตใจ
จะทำให้คลิกโฆษณาและซื้อได้ง่ายขึ้น
เขียนส่วนลดราคาสินค้า (ถ้าหากสินค้าลดราคาเยอะมากๆ)
ควรจะจบด้วย Call To Action เพื่อให้ผู้อ่านโฆษณาต้องการคลิกโฆษณาไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติม

และข้อแนะนำสุดท้ายสำหรับการเขียนโฆษณา ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ
คือ การเขียนโฆษณาใหม่ขึ้นมาทดสอบอยู่เสมอ
เพื่อให้เราหาโฆษณาที่ดี มีคนสนใจมากขึ้น มาทำโฆษณาได้เรื่อยๆ ครับ

การทำโฆษณาสินค้าใน Amazon

ในการทำโฆษณาสินค้าใน Amazon นั้น เราทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า สามารถแบ่งวิธีการทำโฆษณา/ หา Keywords ออกได้เป็น 2 แบบ ก็คือ1. โฆษณาแบบ Mass คือ การทำโฆษณาตัวเว็บไซต์ Amazon.com เลย เพื่อให้คนเข้ามาซื้อสินค้ากันในเว็บไซต์ จะเป็นสินค้าอะไร ยี่ห้ออะไรก็ได้ ซึ่ง Keywords ที่ใช้ก็เช่น online shopping, buying gift เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่าเป็น Keywords กลางๆ ที่เรียกให้คนเข้าเว็บไซต์มากๆ 2. โฆษณาแบบ Niche คือ การทำโฆษณาสินค้าเฉพาะบางอย่าง หรือ บางประเภทใน Amazon เพื่อให้คนที่สนใจสินค้าจริงๆ เจาะจงเข้ามาใน

7 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการทำโฆษณาให้ Amazon

1. เลือกสินค้าที่ไม่ดีมาทำโฆษณาเรื่องนี้ Amazon Affiliate มือใหม่จำนวนมากจะเป็นครับ เพราะหลายๆ คนพอเริ่มลองทำโฆษณา Amazon ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเลือกสินค้าอย่างไรดี ไม่รู้วิธีการดูว่าสินค้าไหนที่มีโอกาสทำกำไรได้ ไม่เคยคำนวณรายรับ รายจ่าย กำไรของแต่ละสินค้าก่อนทำโฆษณาเลยสักนิดเดียว ยังไงพยายามใช้เวลาในการเลือกสินค้าให้มากขึ้น ศึกษาและเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชิ้น แล้วเลือกสินค้าที่มีโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดมาทำโฆษณาก่อนเสมอจะดีที่สุดครับ

แอบดู Traffic คนเข้าร้าน aStore ของเราด้วย Astore Tracker

แอบดู Traffic คนเข้าร้าน aStore ของเราด้วย Astore Tracker


เราจะรู้ได้ไงว่าร้าน aStore ร้านไหนของเราที่มีคนเข้าดูมากที่สุด
แต่ละร้านมีคนเข้ามาดูกี่คน หรือเข้ามาคลิกสินค้ากี่คลิก?จริงแล้วตัว Amazon Associates เองเค้าก็มีลิ้งค์ที่เอาไว้ให้เช็ค Reports ต่างๆ ตรงนี้ไว้อยู่แล้ว
คือที่ Daily Trends กับ Tracking ID Summary Report แต่มันยังไม่สะใจพอครับ
ถ้าเราอยากได้ข้อมูลที่มันบอกมากกว่านี้ล่ะ และวันนี้ผมเองมีเครื่องมือตัวหนึ่งที่ผมเองก็ใช้อยู่
และอยากจะแนะนำให้คุณๆ ใช้ด้วย มันคือ Astore Tracker นั่นเองครับ1. ขั้นแรกให้เข้ามาที่เว็บ http://www.astoretracker.com
ให้เราสมัครใช้งานโดยคลิกที่ If not member please [Sign Up]
2. ให้ทำการกรอกข้อมูลลงในช่องครับ โดยในส่วนที่เป็น Name จะเป็น URL ลิ้งค์ไอดีของเรานั่นเอง
3. เสร็จแล้วให้คลิกที่ Login รอสักครู่จะพบคำว่า Register is successfull
แปลว่าเราสมัครเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ4. ทีนี้ให้เราลอคอินเข้าสู่ระบบครับ เมื่อเราเข้ามาหน้าแรกให้มองที่ Pic Code: ก่อนครับ
จะมี URL ลิ้งค์ไอดี ที่เราตั้งไว้ตอนสมัครนั่นเอง ให้เรานำ URL นี้เอาไปใส่ไว้
ในร้าน astore ของเราครับ (มีกี่ร้านก็ก๊อปปี้เอาไปใส่ให้หมดทุกร้าน)
5. ให้เราลอคอินเข้า Amazon Associates แล้วคลิกในส่วนของ aStore > Color & Design
จากนั้นเลื่อนลงมาตรงหัวข้อ Configure Store Header ให้ทำการวาง URL ของเราที่ได้จาก Astore Tracker ลงไปดังรูปตัวอย่าง เสร็จแล้วคลิก Continue เพื่อเซฟให้เรียบร้อย
6. ให้เราลอง Preview Store ร้านนั้นของเราดูก็จะพบว่าตรงชื่อร้านจะมีโลโก้ของ Amazon โผล่ออกมา ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนไทยครับ :D
7. เมื่อเราวาง URL ของที่ Astore Tracker ลงไปที่ aStore แล้วก็ให้เราอดใจรอสัก 1 อาทิตย์ แล้วลองลอคอินเข้าไปเช็คดูนะครับ และเราก็จะได้รู้ว่า ร้านไหนบ้างที่มีคนเข้ามากที่สุด ร้านไหนบ้างที่ไม่มีคนเข้าเลย รู้แบบนี้แล้วเราก็สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในการสร้าง Tracking ID ตัวใหม่ของเราเพิ่อเปิดร้าน aStore ร้านต่อๆ ไปได้ครับ จบซะทีสำหรับวันนี้ บ๊ายบายย...
ขอขอบคุณ : richwithamazon

Back link aStore ดีดีทำอย่างไร

สวัสดีครับท่านผู้อ่านอันเป็นที่รักของโอ๋ ฮะฮะทำ aStore มานานมากแล้วแต่โอ๋ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่มันควรจะเป็นเลยครับ เห็นหลายท่านประสบความสำเร็จกันมากมาย โอ๋ก็อิจฉาน่าดู ตาร้อนๆยังไงพิกล แต่ก็จะไปโทดใครไม่ได้ ก็นอกจากตัวเรานั่นเอง ขี้เกียจ+ไม่ค่อยมีเวลา เลยทำให้ผลลัพท์ที่ออกมาเป็น 0
เข้าเรื่องดีกว่านะครับ จากการที่โอ๋ทำ SEO ให้กับ aStore นั้น หลายๆท่านก็ทำเหมือนโอ๋ ก็คือการทำ blog Review สินค้า ให้กับ aStore แต่เมื่อโอ๋ทำมาได้สักพักก็เกิดเอ๊ะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ คือสินค้าหมดสต๊อก เฮอ เฮอ ทำอย่างไร อีกปัญหานึงก็คือ ถ้าโอ๋มี aStore สัก 70 ร้านแล้วจะทำอย่างไรที่จะ Review สินค้าให้กับ aStore แต่ละร้านให้มันหมดภายในเวลาที่เรากำหนดกันดีล่ะเนี่ย
คิดๆๆๆ คิดไปคิดมา คุยกับใครหลายๆคน อย่างเช่นคุณ ball6847 ทาง MSN อ่ะนะช่วงนี้คุณบอลคงงานหนัก เพราะคุณบอลเขียนสคิ๊ปดีดีเจ๋งๆทั้งนั้น คุณบอลเค้าเก่งการเขียนสคิ๊ปเพื่อมาช่วยเราทางด้านการทุ่นแรงออกมาเยอะครับ อย่างเช่นการ auto post เข้า blogger การดึงบทความสินค้าออกมาจาก astore ของเรา ไอ้ครั้นถ้าเราจะไปขอสคิ๊ปเค้า มันก็น่าเกียจ เพราะเค้าเสียเวลาศึกษามาเยอะ เรามาชุบมือเปิปขออย่างเดียวนี่ ไม่ไหวครับ โอ๋ก็เลยเขียนสคิ๊ปง่ายๆเพื่อดึงบทความจาก aStore เองเลย ด้วยความรู้ PHP แค่หางอึ่ง 55 ผลออกมา ก็อย่างที่เห็นครับ ยุ่งยากมากๆ เหนื่อย!!!
ไหนจะก๊อปปี้ ไหนจะเชพ ไหนจะต้องไป Post ทำ SEO สร้าง blog สมัคร email สมัคร blog !!!
แล้วถ้าเรามี 70 aStore วันนึงทำไหวไหม ถามตัวเองมาตลอดกับปัญหาอย่างนี้ มาวันนี้โอ๋มีแนวทางใหม่ครับอยากให้เพื่อนๆช่วยกันพิสูจน์และทำตามไปพร้อมกับโอ๋เลย นั่นคือ การทำ blog ดีดีขึ้นมาสัก blog และเขียนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เรามีใน aStore พูดโดยรวมให้ตรงหมวดหมู่ แล้วนำลิ้ง aStore ที่อยู่กลุ่มเดียวกันมาแปะ โอ๋ว่าวิธีนี้เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งกันเลยทีเดียว กลุ่มสินค้าของ Amazon มีไม่กี่หมวดหรอก ให้เราสร้าง blog ตามหมวดหมู่เหล่านั้น แค่นี้เราก็ประหยัดเวลาลงตั้งเยอะ แถมได้ blog ที่มีคุณภาพ มีลิ้งที่ดียิงเข้า aStore ของเราครับ แล้วก็ลิ้งที่เหลือก็หาเอาตาม blog ที่มีเนื่อหาที่เกี่ยวข้องกับเราดีกว่าครับ อย่าไปเสียเวลากับการ Review สินค้ามันทุกตัว ได้ไม่คุ้มเสียนะโอ๋ว่า (เสียเวลามากเกินไป เอาเวลาไปหา niche keyword ดีดีสักตัวดีกว่า)

6 Ways to Make Money from Affiliate Program

การทำธุรกิจ Affiliate Marketing นั้น สามารถสร้างรายได้กลับมาให้กับคนจำนวนมากมายทั่วโลกมานานมากแล้ว ในปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาทำธุรกิจ Affiliate Marketing กันมากขึ้น มีหลายๆคนสามารถทำกำไรกลับมาได้อย่างมากมาย โดยที่ยังไม่ต้องมีเว็บไซต์ของตนเองเลย นั่นก็คือ การทำธุรกิจ GoogleRich หรือ การทำ Affiliate Marketing โดยใช้ Google AdWords เป็นสื่อในการโฆษณาสินค้าให้กับเว็บไซต์ต่างๆนั่นเอง
ด้วยเหตุที่คนไทยรู้จักกับ Affiliate Marketing ผ่านทางธุรกิจ GoogleRich ทำให้คนไทยโดยส่วนมากจึงยังคุ้นเคยกับการทำ Affiliate Marketing โดยใช้ Google AdWords เพียงอย่างเดียว บางคนถึงกับเรียกธุรกิจนี้ว่า การทำ AdWords (ซึ่งมักจะเรียกคู่ไปกับการทำ AdSense) ก็มี
ทั้งที่ความจริงแล้ว ธุรกิจ Affiliate Marketing ที่คนทั่วโลกทำกันอยู่ ใหญ่โตกว่าที่เราคิดมากครับ และวิธีในการสร้างรายได้จาก Affiliate Marketing ก็มีมากมายหลายแบบด้วยกัน ไม่ใช่มีเพียงแค่ผ่านทาง PPC Search Engine เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผมขอแนะนำวิธีในการสร้างรายได้จาก Affiliate Marketing แบบหลักๆที่คนทั่วโลกได้ทำอยู่ เพื่อให้เพื่อนๆเกิดความคิดที่จะนำไปทำตาม หรือไปประยุกต์ใช้ในการสร้างรายได้ต่อไป ดังนี้ครับ

1. PPC Search Engine
สำหรับวิธีการนี้ทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ก็คือ การนำ Affiliate Link ของบริษัทต่างๆ ไปทำการโฆษณาบน Search Engine ต่างๆโดยตรง หรือว่า เราอาจจะทำเว็บไซต์อื่นๆที่มีการนำ Banner ของบริษัทต่างๆ แล้วนำไปโฆษณาผ่านทาง PPC Search Engine ก็ได้
วิธีนี้จะเป็นวิธีในการหาเงินจาก Affiliate Marketing ที่รวดเร็วที่สุด และสามารถเริ่มต้นได้โดยที่ไม่ต้องมีความรู้ในด้านการทำเว็บไซต์เท่าไหร่
2. Comparison Shopping Website
การทำเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลของสินค้าจากบริษัทต่างๆ แล้วมาเปรียบเทียบกันว่า ในสินค้าประเภทเดียวกันนั้น ถ้าซื้อจากแต่ละบริษัท จะมีข้อดี ต่างกันอย่างไร เช่น ราคาถูกกว่า หรือ ค่าจัดส่งฟรี ระยะเวลารับประกันนานกว่า เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถที่จะอ่านข้อมูล และเลือกซื้อสินค้าจากบริษัทที่ผู้บริโภคคิดว่าเหมาะสมที่สุด
3. Loyalty web sites
การทำเว็บไซต์สมาชิก ที่มีการเสนอเงินรางวัลหรือมีการสะสมแต้มเพื่อแลกรางวัลให้กับผู้ที่เป็นสมาชิก เมื่อ ผู้ที่เป็นสมาชิก ทำการดูโฆษณา หรือ สมัครสมาชิก หรือ ซื้อสินค้า ผ่านทาง Affiliate Link ของทางเว็บไซต์
สำหรับการทำเว็บไซต์ประเภทนี้นั้น ให้ตรวจสอบกับบริษัท (Advertiser) ที่เราจะนำมาโฆษณาดีๆก่อนครับ เพราะว่าบางบริษัทอาจจะห้ามไม่ให้เราโฆษณาเว็บไซต์ของเค้าผ่านทาง Loyalty web sites
เว็บไซต์ประเภทนี้ เราอาจจะเคยคุ้นตากันมาบ้างแล้วครับ ก็คือ ประเภทที่มีโฆษณาตามอินเตอร์เน็ตต่างๆว่า ดูโฆษณา หรือ เช็คอีเมล์ฟรีแล้วได้เงิน หรือว่า ให้กรอกแบบสอบถามต่างๆแล้วได้เงินนั่นเอง
4. Sales Promotions website
การทำเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลของสินค้าต่างๆที่มีการลดราคา มีการแจกคูปอง มีการสะสะแต้ม หรือมีการแจกสิทธิเพิ่มเติมให้ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะให้ประโยชน์กับลูกค้าที่ต้องการซื้อสินค้า ให้สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ
5. Content niche website
การทำเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น วิธีการเขียน Essay วิธีการสมัครงาน วิธีการเลือกซื้อ Web Hosting เป็นต้น เพื่อทำให้คนที่ต้องการหาความรู้ในด้านนั้นๆ เข้ามาอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ของเรา และก็มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้า(ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา) จากเว็บไซต์ที่เราทำการโฆษณาให้
6. Personal website
คือ การทำเว็บไซต์ส่วนตัว ที่ไม่มีลักษณะบังคับ เราอาจจะทำเว็บไซต์แปลกๆที่ทำให้คนเข้ามาเยี่ยมชมจำนวนมากในแต่ละวัน เราก็สามารถนำ Banner หรือ Affiliate Link มาวางไว้บนเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้เวลาที่มีคนเห็น Banner และสนใจในสินค้า คลิ๊กผ่าน Banner เข้าไปซื้อสินค้าได้ครับ
วิธีนี้ก็คล้ายๆกับการโฆษณาบนทีวีนั่นเอง คือ ไม่เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเท่าไหร่ เน้นให้คนจำนวนมากเห็นโฆษณา Banner จากนั้น ใครจะคลิ๊กหรือไม่คลิ๊กก็ไม่ว่ากัน

ด้วยวิธีการต่างๆที่ผมได้อธิบายมานั้น คงทำให้เพื่อนๆได้เห็นถึงการสร้างรายได้จาก Affiliate Marketing ด้วยวิธีการต่างๆแล้ว ยังไงก็ขอให้ลองนำไปประยุกต์ใช้กันดู และขอให้ประสบความสำเร็จทุกคนนะครับ
–บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ผู้แต่งหนังสือ Google Make Me Rich และคอลัมนิสต์ของนิตยสาร

10 เทคนิคปรับเพิ่มยอดขาย อีเบย์

ช่วงนี้ กระแสอีเบย์เริ่มมาแรงอีกครั้ง และคาดการณ์ว่าน่าจะมีคู่แข่งเพิ่มมาอีกเยอะ คนขายหลายคนเมื่อขายไม่ได้ ยอดไม่กระเตื้องเอาเสียเลย ก็หนีหายไปเยอะ การรู้จักปรับตัวให้ทันเกมการแข่งขัน น่าจะเป็นทางออกที่ดีไม่น้อย เราลองมาปรับเพิ่มยอดขายของเราอย่างง่ายๆดีกว่า เทคนิคและวิธีการในบทความนี้ อาจจะทำให้ประกาศของคุณ ดูน่าสนใจและเพิ่มยอดคลิกเพื่อตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น นั่นคือ การปรับปรุง eBay Listing ให้ดีกว่าเดิม
วิธีการนี้อาจไม่ต้องไปลดราคาแข่งกับใคร ไม่ต้องหาสินค้าใหม่หรือเลียนแบบสินค้าคนอื่่นๆ ก็น่าจะทำให้อยู่รอดได้สบายๆ ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ
ใส่ตัวอักษรใน Title ให้เต็มพิกัด
ปกติแล้วตัวอักษรบน Title สำหรับประกาศขายสินค้านั้น ทาง อีเบย์ กำหนดให้ใส่ได้แค่ 55 ตัวเท่านั้น เกินจากนี้จะใส่ไม่ได้อีก เพราะเต็มโควต้า ใครที่ใช้ไม่คุ้มก็เท่ากับว่าเสียของเปล่าๆ ดังนั้นพยายามใส่ตัวอักษรให้มากที่สุด ยิ่งมากก็ยิ่งได้เปรียบ ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องจ่ายตังค์เพิ่ม เพราะยังไงแล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อีเบย์ เก็บจากเรา (ผู้ขายสินค้า) ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเติมให้ครบเสียดีกว่าปล่อยเว้นว่างไว้
อย่าลืมว่ารายการประมูลสินค้าของเรามีโอกาสอยู่บน อีเบย์ ได้มากที่สุดเพียง 10 วันเท่านั้น ตัวอักษรทั้งหลายที่ใส่ไป ควรจะเป็น Keyword ที่นิยมค้นและเกี่ยวเนื่องกับสินค้าของเรามาุกที่สุด อย่าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา หรือไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้าของเราเลย (มีคนเข้ามาดู แต่ไม่ซื้อ ก็ไม่มีประโยชน์) คำที่นิยมใส่ไว้ควรบอกว่าของที่เราขายนั้นคืออะไร ? เสื้อ กางเกง สร้อย แหวน กำไล หรือ หนังสือ? อาจจะพ่วงด้วยยี่ห้อสินค้า ชื่อคนแต่งหนังสือ โมเดลหรือรุ่นที่ผลิต ระบุสี วัสดุที่ทำ น้ำหนักหรือขนาดของสินค้าเข้าไปด้วย (หากมีที่เหลือพอ) ก็จะสื่อให้คนเข้ามาคลิกได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องแน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราประกาศขายจริงๆ อย่าเป็นลักษณะของการ Spam เพราะการทำเช่นนั้นผิดกฎของ อีเบย์ อย่างแน่นอน นอกจากจะถูกปลดรายการออกยาวเลยแล้ว ยังจะไม่ได้ค่า Fee คืนอีกต่างหาก
คำแนะนำคือ ตัดเอาคำเกินที่ไม่สื่อความหมายออกไปเสีย เช่น Wow!, หรือ Look! เพราะจะกินพื้นที่เปล่าๆ และ keyword พวกนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ เนื่องจากไม่เป็นที่นิยมในการใช้ค้นหา (ลองนึกดูว่าถ้าเราจะซื้อสินค้าสักชิ้น เราจะพิมพ์คำค้นด้วยวลีเหล่านี้หรือไม่)
ถ้ายังที่ว่างพอหลงเหลืออยู่ อาจหันไปใช้กลุ่มคำหรือวลีอันอื่นแทนที่ Wow! หรือ Look! อะไรพวกนี้ ด้วยคำว่า New หรือ Old เพื่อบ่งบอกว่าสินค้าของเราเก่าหรือใหม่ ก็จะดูดีกว่า และยังเป็นคำค้นที่นิยมใช้ด้วย หรือหาคำย่อที่ใช้ในเว็บ อีเบย์ เพิ่มเข้าไปอีกแทนพื้นที่ว่างๆ ก็ได้ เช่น เติมอักษร NR (No Reserve) ต่อเข้าไปในส่วนท้าย เพื่อบ่งบอกว่า สินค้าชิ้นนี้ ไม่ได้กั๊กราคาหรือตั้งราคากันเอาไว้ อะไรแบบนี้ เป็นต้น
เช็คคำสะกดให้ถูกต้อง
หลายครั้งที่เราพบว่า Listing ของเราไม่โชว์หรือไม่แสดงผลลัพธ์ในการค้นเลย เป็นไปได้ว่าการสะกดคำใน Title และ Description ของเรานั้น บางทีเพี้ยนหรือสะกดผิดไป อาจจะวางตำแหน่งตัวอักษรผิดที่ ตกหล่นอักษรบางตัว หรือมือเร็วไปหน่อย ทำให้พิมพ์ตกๆหล่นๆ ทางที่ดีก่อนลงประกาศก็เช็คคำสะกดเหล่านี้ให้ถูกต้องด้วยครับ จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมการลงประกาศขายไปฟรีๆ โดยที่ไม่มีโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งถ้าสินค้าที่เราลงประกาศขายชิ้นนั้นตั้งราคาประมูลที่ต่ำด้วยแล้ว โอกาสที่จะเจอนักซื้อมือทองที่สบโอกาส คว้ารายการประมูลนั้นไปในราคาที่ต่ำแสนต่ำ ยิ่งเป็นไปได้มาก เพราะพวกนี้จะชำนาญเรื่องการใช้เทคนิคค้นข้อมูลด้วยคำที่สะกดผิด และมองหาสินค้าที่ไม่มีคนเข้ามาดู และชิงประมูลเอาไปในวินาทีสุดท้าย ซึ่งอาจจะทำให้คุณหัวเสียก็เป็นได้ เพราะไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ แต่ถ้าจะวางกับดักแบบหนามยอกเอาหนามบ่งพวกนี้ ก็ตั้งราคาแบบพอมีกำไร หรือล่อด้วยราคาต่ำแต่บวกค่าขนส่งที่มากกว่ารายการประมูลอื่น แบบนี้น่าจะใช้ได้เช่นกัน แต่ระวังว่าอย่าบวกค่าขนส่งที่แพงจนน่าตกใจน่ะครับ เดี๋ยวเข้ามาแล้วจะหายไปเสียดื้อๆ
สร้างเงื่อนไขให้โดนใจ
บ่อยครั้งที่ Listing ของเราวางเงื่อนไขที่ดุดัน รุนแรงและวางระเบียบไว้มากเกิน มองในด้านผู้ซื้อ เมื่อเข้ามาแล้ว อ่านดูแล้ว อาจจะฉุนนิดๆก็ได้ ทางที่ดีควรผ่อนเงื่อนไขให้ตรงใจกันทั้งสองฝ่าย อย่าตึงหรือหลวมมากเกินไป การเขียนเพื่อบอกเงื่อนไขแข็งข้อมาก ฝ่ายผู้ซื้ออาจจะหนีไปเสียดื้อๆ แต่ถ้าทำให้เขาพอใจ และรับได้กับบางสิ่งบางอย่างที่เราตั้งกฎเกณฑ์ไว้ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ โบราณกล่าวไว้ว่า คำพูดดีๆไม่ต้องซื้อหา ปากหวานๆหยอดวาจาสวยๆแค่นี้ก็กินใจได้เยอะครับ
ตั้งราคาไม่สูงหรือแพงมากไป
บ่อยครั้งที่พบว่าสินค้าเราขายไม่ได้หรือไม่มีคนซื้อหรือมาประมูลเอาเสียเลย อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีการวิจัยหรือสำรวจตลาดโดยรวมเสียก่อนว่า ราคาที่อยู่ในตลาดนั้นแค่ไหนกันแน่ และควรจะเริ่มตั้งราคาประมูลที่เท่าไหร่ดี บางครั้งการตั้งไว้สูงจนเกินไป ก็ทำให้โอกาสในการขายของชิ้นนั้นยากมากขึ้นด้วย ทำนองกลับกันการตั้งราคาที่แหวกม่านประเพณี แบบลดกระหน่ำ Summer Sale หรือตั้งไว้ต่ำจนน่าตกใจ เพื่อล่อให้คนมาซื้อหรือประมูลก็ใช่ว่าจะขายได้ไปเสียทุกชิ้น บางรายการอาจจะทำให้คู่แข่งที่ขายสินค้าแนวเดียวกันเข้ามาแกล้งเอาดื้อๆก็ได้ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หมั่นไส้!) การขายในราคาประมูลที่ต่ำมาก อาจจะได้ผลดีในระยะแรกๆที่จะทำให้มีคนมาประมูลเยอะขึ้น แต่ในระยะยาวท่านจะต้องทนร้ับสภาพกับราคาที่ขายต่ำแบบนี้ไปอีกนานครับ เรียกว่าขายยังไงก็ไม่ได้กำไร ดังนั้นการตั้งราคาก็เอาพอให้รับได้ ไม่สูงมากหรือต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น หลายครั้งการตั้งราคาอาจจะบวกกำไรเอาไว้ราวๆ 100-200% (เผื่อต้นทุนในการลงประกาศขายและค่าธรรมเนียมอื่นๆ) แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มีคู่แข่งด้วยแล้ว จากประสบการณ์มากสุดที่เคยทำคือประมาณ 600% ก็ยังพอขายได้ครับ สำหรับสินค้าที่โดนใจจริงๆ คำแนะนำข้อนี้อาจจะไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวแต่เดินอยู่ในทางสายกลางน่าจะดีที่สุด
ใส่รูปประกอบคำอธิบาย
คำพูดล้านคำไม่เท่ากับใช้ภาพเพียง 1 ภาพ มาอธิบาย วิธีการเหล่านี้ยังเอามาใช้ได้บน อีเบย์ นะครับ โดยเฉพาะกับ eBay Listing ของเรา ควรอย่างยิ่งเลยครับ ใส่ภาพประกอบไปเสียหน่อยจะทำให้ง่ายในการอธิบายด้วยคำพูดยาวๆได้ดีมาก ภาพที่ใช้ก็ควรจะเป็นภาพที่เด่น ชัดเจนและตรงกับคำอธิบายพอสมควร ผู้ขายรายใดมี Hosting ให้เลือกใช้ ถ้าเป็นไปได้ใส่สัก 2-3 รูปก็ไม่เลว ทั้งภาพด้านหน้า ด้านข้่าง ด้านหลังของตัวสินค้า ภาพที่เลือกใช้ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตเท่าฝาบ้าน เอาพอใ้ห้เห็นตำหนิ รูปพรรณหรือแบบของสินค้าอย่างคร่าวๆก็จะดีกว่าภาพใหญ่ๆแต่ไม่ได้เน้นรายละเอียดอะไรเลย ในการลงประกาศขายสินค้าของ อีเบย์ จะมีให้เลือกออพชั่นการแสดงผลแบบ Gallery ด้วย ถ้าเป็นสินค้าที่มีคู่แข่งมากในตลาด และอยากให้คนเข้ามาคลิกดูรายการของท่านบ้าง ควรเสียเงินเพิ่มอีก $0.35 สำหรับแสดงผลแบบ Gallery ด้วยครับ อย่างน้อยก็ทำให้เปอร์เซ็นต์ในการคลิกประกาศของเรา มีสูงกว่ามาก
ปรับ Listing ให้สวย สะดุดตา
หลายครั้งที่หน้าประกาศขายสินค้าก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง เครื่องประดับหรือสินค้าทั่วไป การปรับแต่ง Listing ให้สวย โดนใจและเข้ากับกลุ่มลูกค้าก็จะทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นนั่นเอง เช่น ขายสินค้าผู้หญิงก็เน้นโทนสีออกชมพูหวาน หรือมีลูกเล่นเล็กน้อย ขายสินค้าผู้ชายก็เน้นโทนสีของ Listing ออกเข้ม ดุดันออกแนวสีน้ำตาล ดำหรือสีที่แสดงให้ถึงความเข้มแข็ง หนักแน่น เป็นต้น การเลือกใช้ Template ที่ อีเบย์ มีให้ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การสร้าง Listing ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าหากจะต้องเขียนเองหรือยุ่งยากอาจไหว้วานคนรู้จักให้ทำต้นแบบไว้สักแบบสองแบบ แล้วนำมาใช้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้วุ่นวายอะไรมากนัก ลองดูเถอะครับแล้วจะรู้ว่าการทำให้ประกาศดูน่าเชื่อถือและแสดงถึงความเป็นมืออาชีพด้วยแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ใส่ Link เชื่อมโยงไปดูหน้าสินค้าอื่น
เมื่อลูกค้าเข้ามาดูประกาศหรือ Listing นั้นแล้ว บางครั้งอาจไม่ใช่สินค้าที่เขาต้องการ ดังนั้น อีเบย์ จึงอนุญาตให้เราสร้าง Link เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าอื่นที่เราขายบน อีเบย์ อีกได้ เช่น รายการที่ขายอยู่ในขณะนั้น หรือ eBay Store ที่เปิดเอาไว้ หากไม่สันทัดในเรื่องการสร้าง Link ก็เลือกใช้บริการของ Third Party หรือผู้ให้บริการจากข้างนอก (เช่น Auctiva หรือ Vendio) ซึ่งจะดึงเอาสินค้าที่มีอยู่ของเรามาต่อท้ายเป็น Gallery Listing เพื่อดึงดูดให้คลิกดูรายการสินค้าอื่น ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายและโอกาสให้คนเห็นมากขึ้นเช่นกัน
เลือกเวลาลงรายการให้เหมาะสม
บางครั้งการเลือกลงเวลาให้จบการประมูลก็เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ในการลง Listing พยายามให้จบประการประมูลในช่วงหัวค่ำ จะดีกว่าให้จบการประมูลในช่วงที่คนส่วนใหญ่นั่งทำงานหรือไม่ได้มีเวลาจะมานั่งหน้าจอกันนานๆ เวลาที่ผู้ขายนิยมมากสุดก็คือช่วง 7pm-11pm ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะพิจารณาปัจจัยและเหตุผลอื่นๆประกอบด้วยครับ ว่าสินค้าของเรานั้นเน้น Target กลุ่มไหน แม่บ้าน นักเรียน คนทำงาน อาจจะไม่ต้องจบประมูลในช่วงเวลาเหล่านี้เสมอไป การเลือกลงเวลาจบประมูลให้เหมาะสม ไม่ได้มีผลแค่ให้คนเข้ามาหา Listing ของเราง่ายขึ้น (ค้นตามเวลาใกล้จบประมูล) เท่านั้น รายการสินค้าที่หายาก ของที่มีอยู่ชิ้นเดียวในโลกหรืออยู่ในกระแสและมีความต้องการสูงมากในเวลาใดเวลาหนึ่ง ย่อมเกิดการแย่งประมูลสินค้าชิ้นนั้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาการจบประมูลก็สูงมากเช่นกัน คนขายอย่างเราๆก็คง Happy ไม่ใช่น้อย ลองดูน่ะครับ ปรับเวลาให้เหมาะสม เลือกเอาว่าเวลาไหนดี ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นเสมอไป
ตั้งค่าขนส่งแบบสมน้ำสมเนื้อ อธิบายชัดเจน
การขายสินค้าบน อีเบย์ อย่างหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้คือ การแจ้งราคาค่าขนส่งให้ลูกค้าทราบเีสียแต่เนิ่นๆ ก็จะเป็นการดี โดยเฉพาะการส่งสินค้าจากไทยไปยังปลายทางต่างประเทศแล้ว ย่อมมีอัตราค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน ควรบ่งบอกด้วยว่าปลายทางที่ส่งไปนั้น แต่ละแห่ง แต่ละ Zone คิดค่าธรรมเนียมอย่างไรบ้าง ส่งด่วน ส่งเร็วคิดค่าบริการกี่เท่า มีประกันด้วยหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรมีบอกไว้อย่างชัดเจน นอกจากจะไม่ต้องคอยตอบคำถามแบบซ้ำซากแล้ว ยังทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือประมูลง่ายขึ้นเช่นกัน สำหรับวิธีการคิดค่าขนส่งนั้นควรบวกต้นทุนต่างๆรวมเข้าไว้ด้วย เช่น ค่ากล่อง หีบห่อ เทปกาว ค่าน้ำมันรถ (จากบ้านไปที่ไปรษณีย์) เชือกมัด ป้ายชื่อ หมึกพิมพ์ ค่าแรงงาน สิ่งต่างๆเหล่านี้ควรรวมอยู่ในต้นทุนค่าขนส่งทั้งหมด ประการสำคัญคือ อย่าตั้งมากไปจนคนซื้อปฎิเสธไปเสียดื้อๆ ให้ดูจากคู่แข่งหรือตลาดโดยรวมว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับใดจะดีที่สุด
ตอบคำถามให้ไว ทันใจผู้ซื้อ
บางครั้งเมื่อลูกค้าเห็นรายการประกาศสินค้าของเราแล้ว อาจจะยังไม่มีการตัดสินใจซื้อ ณ เวลานั้น เนื่องจากข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ แน่นอนว่า การส่งคำถามจากผู้ซื้อเข้ามาหาเรา (ผ่านระบบ Ask Seller Question) ย่อมเป็นสัญญาณบอกเราได้อย่างดีว่า สินค้าชั้นนั้นน่าจะมีโอกาสขายได้บ้าง (อย่างน้อยก็ยังสนใจบ้าง!) วิธีที่แนะนำคือ ตอบคำถามให้ไวและตรงประเด็นเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ตัดสินใจซื้อมากขึ้น ซึ่งหลายๆครั้งพบว่า การตอบคำถามชัดเจนและแจ้งให้ทราบก่อนจบประมูลก็ช่วยเร่งรัดการตัดสินใจของลูกค้าได้มากขึ้นเช่นกัน
คำแนะนำทั้ง 10 ประการ อาจไม่จำเป็นต้องทำให้ได้หมดทุกข้อ ลองนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมายของท่าน ก็น่าจะเพิ่มยอดขายหรือกระตุ้นให้เกิดการซื้อได้ไม่มากก็น้อยครับ

เทคนิคการจับเสือมือเปล่า ในธุรกิจ อีเบย์

การจับเสือมือเปล่า ภาษาในทางธุรกิจนั้นคือ การลงทุนโดยเราไม่จำเป็นต้องออกค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เหมือนกับการจับแพะชนแกะ แล้วเราก็ได้ค่าคอมมิชชั่น เป็นต้น ดังนั้นสำหรับในธุรกิจอีเบย์นั้น ผมก็มีเทคนิคหลักการแบบง่ายๆ ซึ่งใช้ทรัพยากรรอบตัวเรา ซึ่งมี 4 เทคนิค โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 1: เราใช้วิธีการเสาะหาสินค้ารอบๆบ้านของเรา อาจจะเป็นพระของพ่อ หรือเสื้อผ้าเก่าๆแต่สวยๆของแม่ หรือของเล่นเก่าๆของเรา ซึ่งบางอย่างนั้นอาจจะมีอายุ และสามารถนำไปขายได้บนอีเบย์
วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 2: ใช้เพื่อนๆให้เป็นประโยชน์ เช่นเพื่อนๆขายเสื้อผ้าอยู่ หรือทำงานที่ร้านค้าที่ขายเครื่องประดับ อาจจะลองให้เพื่อนช่วยคุยเพื่อให้เราเข้าไปถ่ายรูป และเมื่อขายได้ก็ค่อยไปซื้อเขา
วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 3: ญาติพี่น้องของเรานั้น มีใครทำธุรกิจอะไรบ้าง อาจจะสอบถามพ่อแม่ ว่าบรรดาเครือญาติของเรานั้นมีใครทำธุรกิจอะไร อาจจะมีญาติเราทำเครื่องเงินอยู่ ก็สามารถไปติดต่อคุยกับเขา วิธีนี้น่าจะง่าย ดีกว่าเราไปเดินเสาะหาร้านค้าที่เราไม่รู้จัก แต่ต้องอธิบายให้เขาให้เข้าใจนะครับว่าเราจะนำสินค้าไปขายที่ไหน และมันจะช่วยเหลือทำตลาดให้เขาได้อย่างไร
วิธีจับเสือมือเปล่าที่ 4: ใช้เสื้อผ้าของเราหรือของแฟน โดยให้แฟนนั้นเป็นนางแบบถ่ายรูป แล้วนำรูปแฟนคุณที่ใส่เสื้อนั้นไปขาย เชื่อไหมครับ มีโอกาสขายออกมากขึ้นทันที เพราะจากที่สังเกต เสื้อผ้าที่ตั้งนิ่งๆ กับสินค้าที่นางแบบ กลับกลายว่าสินค้าที่มีนางแบบนั้นขายออกได้ดีกว่า
เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับบทความนี้บางคนอาจจะมองในธุรกิจอีเบย์ เราต้องไปลงทุนซื้อสินค้ามาก่อน แต่บางครั้งขุมทรัพย์ดีๆนั้นอาจจะอยู่ในรอบๆตัวคุณก็ได้ครับ
สมัคร eBay ที่นี่ครับ

สุดยอดเทคนิคสู่ความร่ำรวยด้วย affiliate program

สุดยอดเทคนิคสู่ความร่ำรวยด้วย affiliate program
ตามสไตล์ของนายหน่อง
1.ศึกษาอย่างจริงจัง
พยายามเสอะแสวงหาแหล่งเรียนรู้ วิธีการ และเทคนิคต่างๆจากผู้รู้ อ่าน อ่าน อ่าน
แล้วก็ อ่าน ให้เข้าใจให้มากที่สุด เร็วที่สุด

2.ลงมือปฏิบัติ
ทันทีที่อ่านจนเข้าใจแล้ว (ในแต่ละบทความ)

3.ไม่หยุดที่จะแก้ไขปรับปรุง
ในงานของเรา เพื่อก้าวสู่สิ่งที่ดีกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำอะไรแบบครั้งเดียว
แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม หรือนั่งรอวาสนา

4.ทำทุกอย่างด้วยใจ..

5.มานะ-อดทน และทุ่มเท
จนกว่าจะเกิดผล

6.รู้จักการแบ่งปัน สร้างกลุ่มเพื่อน
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ หรือ เป็นที่ปรึกษากันได้ในยามที่เราหรือเพื่อนมีปัญหาในงาน
ที่เราทำกันอยู่ ซึ่งข้อนี้ทำได้ไม่ยาก ก็แค่เข้าไปสมัครเป็นสมาชิกของบอร์ดต่างๆ
ที่เป็นศูนย์รวมของผู้ที่ทำงานเหมือนเรา

7.ไม่อายที่จะขอเรียนรู้หรือสอบถามข้อสงสัยจากผู้รู้
ผมรับรองว่าเพื่อนๆจะได้รับคำแนะนำดีๆกลับมาแน่นอน (โทรได้..โทร ไม่มีเบอร์..
ส่งคำถามทางเมล์) ผมไม่เคยได้รับคำปฏิเสธในการที่โทรไปขอคำปรึกษากับผู้รู้เลย
แม้แต่คนเดียว ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกัน

***ขอให้เพื่อนๆ โชคดี ร่ำรวยเงินทองจาก affiliate program ทุกๆคนครับ

สร้างรายได้จากสังคมออนไลน์ กับ Flixya.com

Flixya.com เป็นเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเหมือน Youtube, Metacafe ที่จัดอยู่ในรูปแบบสังคมออนไลน์
เหมือนๆ Hi5.com ซึ่งเปิดให้แชร์ข้อมูลในรูปแบบ Video, รูปภาพ และ บทความของตนเอง
ออกสู่สายตาของคนนับแสนที่ใช้งาน Flixya.com หากเรื่องที่นำเสนอผ่าน Flixya.com
เป็นเรื่องราวที่ถูกใจ หรือกำลังเป็นที่สนใจของคนที่พบเห็น เขาก็จะติดตามเรื่องราวของเรา
และมีระบบ Comment ให้เปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ

นอกเหนือจากคุณสมบัติ ของการเป็นสังคมออนไลน์ Social Network แล้ว ยังเพิ่มความโดดเด่น
และความน่าสนใจจากผู้ท่องอินเตอร์เน็ตด้วยการให้ผลตอบแทนกับสมาชิกของ Flixya
ด้วยการเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถหารายได้จากการทำโฆษณากับ Google adsense
ซึ่งถือได้ว่าเป็นการทำ Internet Marketing ชั้นนำ มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมในลำดับต้นของโลก
ธรรมชาติของสังคมออนไลน์ Social Network เป็นเว็บไซต์ของกลุ่มคนสังคมที่เข้ากันได้อย่างกว้างขวาง
ด้วยระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นเราสามารถเรียก Traffic หรือเรียกให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ได้โดยง่ายและรวดเร็ว
นั้นหมายความว่า เมือคนเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดรายได้จากการทำโฆษณากับ
Adsense ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อมีคนคลิ๊กโฆษณา Google Adsense ของเรา
เราก็จะได้รับรายได้ครับ


google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

รวม Affiliate Program

Affiliate Program เว็บไซต์สำเร็จรูป
http://myjob.tht.in/
http://www.readyplanet.com/page.php?pageview=affiliate_program

Affiliate เว็บโฮสติ้ง (web hosting)
siamwebhost.com
http://www.gbpoint.com
http://www.yourconnect.com/
http://www.thaidreamhost.com/
http://www.ic-myhost.com
http://www.vhostweb.com/affiliate.asp

Affiliate ห้องพัก/หอพัก/ที่อยู่อาศัย
http://www.hongpakonline.com/

affiliate ด้านพรบ.รถยนต์ ประกันภัย ประกันภัยรถยนต์ บัตรเครดิต
http://www.silkspan.com/

affiliate program สุขภาพ ความสวย ความงาม
http://www.haffiliationthailand.com/
http://www.care2you.com/
http://www.thaifittips.com/

affiliate program ประเภทโรงแรม
http://www.hotelclub.com/Partners.asp
http://www.ido24.com/
http://partners.agoda.co.th/
http://www.hotle2thailand.com/

affiliate program อื่น ๆ
http://www.clippoo.com/
http://affiliate.nonggift.com/
http://www.upmobile.com/
http://www.4lifetech.com/affiliate.html

การจ่ายเงินของ Google AdSense

Google จะจ่ายเงินให้คุณก็ต่อเมื่อคุณมีรายได้ครบ 100$ เมื่อคุณมีรายได้ประมาณ 50$
ทาง Google จะส่ง PIN มาให้คุณ ทางจดหมาย ตามที่อยู่ที่ได้สมัครไว้
ให้คุณนำ PIN นั้นกรอกในข้อมูลของคุณ โดยมีวิธีการทำดังต่อไปนี้
การกรอกข้อมูล PIN
1. หลังจาก Login เข้าระบบจะเห็นข้อความYou payments are currently on hold. Action is required to release payment Click here for details ให้คลิกที่ Click here for details
2. ที่ Required Action ให้คลิกที่ Please enter your PIN
3. ใส่หมายเลข PIN ของคุณ แล้วคลิก Submit PIN

ข้อห้ามของ Google AdSense

เมื่อคุณทำ Google AdSense ขอแนะนำนะครับว่าห้ามโกง หรือทำผิดกฎของ Google โดยเข็ดขาดเพราะนั่นคือเว็บของคุณจะไม่สามารถสมัคร Google AdSense ได้อีกเลย รวมถึงตัว คุณดองด้วย และถ้าเห็นใครทำผิดกฎของ Google ก็ให้อีเมล์ไปแจ้งเจ้าของเว็บไซต์นั้น ๆ เพราะเห็นมีหลายท่านบอกว่า ถ้าประเทศใดโกง Google AdSens มาก ๆ เดี๋ยว Google จะ แบนทั้งประเทศ (อันนี้ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน) ถ้าอีเมล์ไปแจ้งแล้วยังไม่เชื่อ ก็แจ้ง Google เลยครับ (อันนี้โหดไปปล่า)

วิธีการสมัคร Google Adsense

ในขณะนี้ Google Adsense ยังไม่รองรับภาษาไทย แต่อีกไม่นานนี้ จะรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เป็นภาษาไทยด้วย (ให้ทำเว็บเป็นภาษาอังกฤษ) การสมัครให้คลิกที่ Sign up now >> แล้วกรอกข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ Google กำหนด แล้วรอการตอบรับจาก Google ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ในการตรวจสอบข้อมูล
ข้อมูลที่ต้องกรอกในการสมัครWebsite URL: [?] ใส่ชื่อเว็บของคุณ ตัวอย่างเช่น www.bcoms.netWebsite language: เลือกภาษา ให้คุณเลือกเป็น English ครับAccount type: [?] เลือกประเภทของเว็บคุณ ว่าเป็นเว็บส่วนตัว หรือเว็บเกี่ยวกับธุรกิจCountry or territory: เลือกประเทศ ในที่นี้เลือกประเทศไทยครับPayee name (full name): ใส่ชื่อผู้รับเงิน** หมายเหตุ คุณไม่สามารถเปลี่ยนชื่อผู้รับเงิน และประเทศได้ หลังจากที่คุณสมัคร ให้ดูดี ๆ ว่ากรอกถูกต้องหรือไม่Address line 1: , Address line 2 (optional): ใส่ที่อยู่City: แขวง/ตำบลState, province or region: จังหวัดZip or postal code: รหัสไปรณีย์Phone: เบอร์โทรศัพท์ เช่น 02-2345868 ก็ให้กรอก 6622345868 หรือ 04-0077562 ก็เป็น 6640077562Fax (optional): เบอร์ FaxEmail preference: ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกครับ (อันนี้ Google จะส่งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงทิปต่าง ๆ มาให้คุณครับ)Product(s): [?] ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกทั้ง 2 อันเลยครับ ทั้ง AdSense for Content และ AdSense for Search Policies ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกทั้งหมดเลยครับ อันนี้เป็นข้อตกลงของ Google เช่น จะไม่คลิกโฆษณาบนเว็บของตัวเอง หรือให้คนอื่นคลิก ,ไม่โฆษณาในเว็บที่ไม่เหมะสม ลามกอนาจาร เป็นต้นEmail address: ใส่อีเมล์ของคุณPassword: ใส่รหัสผ่าน (7 ตัว หรือมากกว่านั้น)Re-enter password: ใส่ รหัสผ่าน ซ้ำอีกครั้ง** หมายเหตุ ข้อมูลของคุณต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเมื่อกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ครบแล้วให้คลิกที่ Submit Informationหลังจากนั้นให้คุณไปเช็คอีเมล์ที่ได้สมัครไว้ เพื่อยืนยัน เมื่อยืนยันแล้วให้รอประมาณ 2-3 วัน เพื่อ Google ตรวจสอบข้อมูลของคุณ และจะส่งอีเมล์มาแจ้งว่าคุณสมัครผ่านหรือไม่
เว็บไซต์ที่ Google ห้ามไม่ให้สมัคร (ถึงสมัครไปก็ไม่ผ่าน)• ความรุนแรงต่อต้านบุคอื่นกลุ่มหรือองค์กร• Hacking• Spam Keyword • เว็บไซต์การพนัน• โฆษณาทำเพื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีเนื้อหาอย่างอื่นเลย• เนื้อหาที่ผิดกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์ • สิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้ บุคคลที่สามมาแสวงหาผลประโยชน์• อาวุธสงคราม• ขายเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล• บุหรี่• การปลอมแปลงสินค้า• เวปที่โกหกหลอกหลวง • เว็บลามกอนาจาร

Google Adsense คืออะไร ?

Google Adsense คืออะไร ?


Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น

Affiliate Marketing คืออะไร?

Affiliate Marketing คืออะไร?
คำว่า Affiliate Marketing นี้ คงยังไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยกันสักเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นการตลาด ในรูปแบบใหม่บนอินเตอร์เน็ท ที่ยังไม่ค่อยมีเว็บไซต์ไหนในประเทศไทยที่ใช้ระบบนี้ เพื่อทำการโฆษณาเว็บไซต์เท่าใดนักแต่ถ้าหากเป็นในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีการทำธุรกิจผ่านเว็บไซต์กันอย่างจริงจัง เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา นั้น ถ้าเอ่ยถึง Affiliate Marketing ขึ้นมาน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก
ทั้งนี้เพราะเหตุว่า Affiliate Marketing นั้น นับได้ว่าเป็นการทำการตลาดวิธีหนึ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป ซึ่งเหมาะสำหรับบริษัทดอทคอม ที่เกิดใหม่หลายๆแห่งที่ไม่ค่อยมีงบประมาณในการโฆษณาเท่าไหร่นัก

วิธีเชื่อมบัญชี eBay และ PayPal

หลังจากที่กฎใหม่ของ eBay กำหนดให้ผู้ขายสินค้าบน eBay (โดยเฉพาะคนขายจากประเทศไทย) จำเป็นจะต้องเชื่อมบัญชี PayPal เอาไว้ก่อนการประกาศขายสินค้านั้น ทำให้นักขายสินค้าหลายๆคน โดยเฉพาะที่เป็นมือใหม่ จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ออกมาใหม่นี้อย่างเคร่งครัด แต่เนื่องจากตัวเว็บ eBay มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบ่อย รวมถึงกฎและนโยบายต่างๆที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้หลายๆคนติดปัญหาและไม่สามารถเชื่อมข้อมูลบัญชี eBay และ PayPal ตามวิธีที่เคยแนะนำไว้ก่อนนี้ได้ อย่างไรก็ตาม พอจะสรุปวิธีการเชื่อมบัญชี eBay และ PayPal เข้าไว้ด้วยกัน ในวิธีอื่นๆเพิ่มเติม ดังนี้ การเชื่อมบัญชี eBay ผ่าน Address ใน PayPalวิธีการนี้เป็นการเชื่อมบัญชี eBay ผ่านข้อมูลที่เป็น Address ที่จัดเก็บข้อมูลไว้ใน PayPal นั่นเอง โดยคุณสามารถทำตามขั้นตอนได้ ดังนี้ 1 ล็อกอินเข้าไปที่หน้า My eBay ก่อน จากนั้นมองหารายการเพื่อเชื่อมที่ My Account -> Addresses2 คลิกที่ View all shipping addresses3 คลิกปุ่ม Add PayPal Addresses4 ป้อน E-mail และรหัสผ่านเพื่อเข้าระบบของ PayPal5 คลิกปุ่ม Get PayPal Addresses6 ถ้าเชื่อมบัญชีสำเร็จจะมีหน้าต่างแจ้งดังรูป ให้คลิกปุ่ม Continue เพื่อกลับไปที่หน้าเว็บ eBay7 หน้าของ eBay จะบอกว่ามีการลิงก์เอาที่อยู่จาก PayPal มาได้แล้ว วิธีตรวจสอบการเชื่อมข้อมูล1 เข้าไปที่หัวข้อ My Account -> PayPal Account2 ถ้าเห็นหน้าจอดังรูป แสดงว่าข้อมูลของ PayPal มีการเชื่อมเข้ากับ eBay สำเร็จแล้ว การแก้ปัญหาเมื่อเชื่อมข้อมูลไม่ได้ ถ้าทำทุกขั้นตอนการเชื่อมข้อมูลดังที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ ให้คุณแก้ปัญหาโดยล็อกอินเพื่อเชื่อมข้อมูลกับ eBay ในเว็บไซต์เครือข่ายอื่นๆ เช่น เว็บ eBay.co.uk ของอังกฤษ หรือเว็บ ebay.au ของออสเตรเลีย แทน ซึ่งสามารถทำการเชื่อมข้อมูลคล้ายๆกันกับที่เว็บ eBay ของอเมริกา แต่หากยังเชื่อมแล้วไม่ได้ ให้คุณหาซื้อสินค้าประเภท Digital Items เช่น Wallpaper, E-book หรือไฟล์ภาพดิจิตอล ราคาต่ำๆ แล้วกดจ่ายเงินผ่าน PayPal แทนบัญชีของคุณจะมีการเชื่อมให้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้าบัญชี eBay ของคุณยังมีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อมอยู่ ให้ติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่ของ eBay โดยตรงเพื่อส่งข้อมูลให้เขาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยทำดังนี้1 แฟกซ์ข้อมูลไปที่ eBay ประจำประเทศสิงคโปร์ที่เบอร์ +65-6491-5007 หรืออีเมล์ไปที่ vbc.sea@ebay.com* ด้วยหัวข้ออีเมล์ ‘ATTN: Manual Verification Team –Thailand’ และระบุข้อมูล 4 ส่วน ประกอบด้วย 1 รหัสอีเบย์ (eBay User ID) 2 เบอร์โทรศัพท์มือถือ 3 สำเนาบัตรประชาชนหน้า-หลัง สำเนาหนังสือเดินทาง และ สำเนายืนยันที่อยู่ที่เคยให้ไว้กับ eBay เช่น ใบแจ้งหนี้ค่าโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์บ้าน หรือใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่มีรายละเอียด ชื่อหรือที่อยู่ตรงกันกับที่เคยให้ไว้กับ eBay2 จากนั้นให้รอการตอบกลับจากเจ้าหน้าที่ของ eBay เพื่อตรวจสอบ ถ้าข้อมูลทุกอย่างถูกต้อง คุณก็สามารถเข้าสู่การทำธุรกิจบนเว็บ eBay ได้ทันที

วิธีการสมัคร PayPal

วิธีการสมัคร PayPal


google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);
1. เข้าเว็บ PayPal โดยคลิ้กที่ http://www.paypal.com/ 2. ที่หน้า Home : มองหาปุ่ม SignUp >> กดปุ่ม SignUp Now!3. ที่หน้าจอลงทะเบียน : a. เลือกประเทศที่เราอาศัยอยู่ b. เลือกภาษาที่ใช้ c. ระบบจะพามาที่หน้า SignUp PayPal Account อัตโนมัติ โดยให้เลือก Premier AccountClick ปม continue d. กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว e. กรอกรายละเอียดข้อมูล Login User สำหรับบัญชี PayPal นี้ f. ระบุรายละเอียดเพื่อใช้ในกรณีลืม Password g. ในส่วนของ Agreement ให้เลือก Yes แล้วใส่รหัสที่แสดงอยู่ด้านล่างของช่อง Enter the code as shown below (กรอกตามที่เห็น) h. กดปุ่ม SignUp เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการสมัครบัญชี PayPal i. หากระบบวิ่งไปที่หน้าให้กรอกรายละเอียดบัตรเครดิต ให้ทำการยกเลิกขั้นตอนนี้ไปก่อนได้ (สามารถ มากรอกภายหลังได้) โดยหากยังไม่มีการกรอกบัตรเครดิต PayPal จะขึ้นสถานะของบัญชีเราเป็น Unverified ซึ่งหากเรากรอกบัตรเครดิต และทำการใส่รหัสสำหรับ Verify เขาไปเรียบร้อยแล้วระบบ จะเปลี่ยนสถานะบัญชีของเราให้เป็น Verifiedแต่ถึงแม้ว่าสถานะจะเป็น Unverified ก็สามารถทำ Online Transaction ได้แล้ว หมายเหตุ :การ Verified Account ทาง PayPal จะชาร์จเงินเราเป็นจำนวน $1.95 หลังจากเมื่อมี การทำ Transaction ผ่าน PayPal เช่นจ่ายเงินค่าอะไรบางอย่าง ทาง PayPal จะทำการคืนเงินให้เรา $1.95 กลับคืนมา4. เข้ามาที่หน้า Home ของ PayPal อีกครั้ง เพื่อทำการ Login เข้าสู่หน้าข้อมูลบัญชีของเรา กรอก Email Address และ Password ของเราที่เราใช้ตอนสมัคร แล้วกด Login5. รอสักครู่ระบบจะทำการเข้ามาที่หน้าจอข้อมูลของเรา พบว่ายอดเงินในบัญชีมียอดเท่ากับ $0.00 เมื่อต้องการทำการจ่ายเงินให้กับบุคคลอื่น ๆ จึงยังไม่สามารถทำได้6. ให้เขาไประบุรายละเอียดทางด้านการเงินของเรา เช่นบัญชีธนาคาร (ใช้กรณีนำเงินออกจากบัญชี PayPal), บัตรเครดิตที่ต้องการใช้ใน PayPal (สำหรับชำระเงินโดยให้ PayPal ดึงจากบัตรเครดิต เวลาทำการจ่ายเงิน) โดยให้เข้าไปที่ Tab Menu Profileเลือก Financial Informationระบุรายละเอียดบัตรเครดิต โดยคลิ้กเขาไปที่ Credit/Debit Cards เลือกปุ่ม Add New Card กรอกรายละเอียดบัตรเครดิต โดย Card Verification Number = รหัส 3 ตัวหลังบัตร หรือสำหรับบัตร AMEX จะเป็นรหัส 4 ตัวที่อยู่ด้านหน้าบัตร เลือก address ที่ใช้สำหรับออกใบเรียกเก็บเงินของบัตรใบนี้ หากไม่ตรงกับ list ที่มีอยู่ ให้คลิ้กเลือก Enter new address….. แล้วกรอกรายละเอียด เมื่อเสร็จสิ้นให้กดปู่ม Add Cardระบุรายละเอียดบัญชีธนาคาร โดยคลิ้กเข้าไปที่ Bank Accountกรอกรายละเอียดแล้วจึงกด Continue ระบบจะนำข้อมูลที่กรอกไปมาสรุปรายละเอียดให้เราทำการตรวจสอบ ก่อน เนื่องจากหากมีการชำระเงินจาก PayPal มายังบัญชีของเราแล้วเกิดผิดพลาด (เพราะข้อมูล) เราจะต้อง เสียค่าธรรมเนียม 15 บาทต่อครั้ง เมื่อตรวจสอบเรียบร้อยแล้วกดปุ่ม Add Bank Account หรือหากต้องการ แก้ไขรายละเอียดให้กด Edit เป็นอันเสร็จสิ้นการบันทึกข้อมูลบัญชี PayPalที่นี้มาดูขั้นตอนการ Verify ของบัญชี Paypal
ขั้นตอนที่ 2 การ Verified account
ขั้นตอนนี้เป็นการยืนยันว่าเราเป็นเจ้าของบัตรตัวจริง และบัตรที่เราใช้สมัครสามารถใช้ได้จริงคลิ๊กเข้าไปที่ Status: Thai Unverified จะมีหน้าต่างให้เรา add บัตรเครดิต First name: ชื่อจริง Last name: นามสกุล Card Type: ชนิดของการ์ด เช่น Visa / Mastercard Card number: หมายเลข 13 หลักหน้าบัตร Epiration date วันหมดอายุตามหน้าบัตร Card Verification number: ตัวเลข 3 หลัก หลังบัตรตรงช่องลายเซ็นต์ ----------> บัตร Be1st ชนิด ไม่มีเลขหลังบัตรให้ลองใส่ Dummy numberดู เช่น 000, 666, 999หาก Add card ส าเร็จจะขึ้นหน้าจอดังนี้Paypal จะทำการหักเงินในบัตรเรา 1.95 $ ประมาณ 70 กว่าบาท เพื่อส่ง Expanded Use Number 4 หลักให้เรา คลิ๊กที่ Get Number เพื่อดำเนินการหักเงินจากบัตร-----> ถ้าเป็นบัตรเครดิต เพื่อนๆ สามารถเช็คเลข Expanded Use Number ได้จาก Statement-----> บัตร Be1st ลองเช็คบัญชีดูว่ามีการหักเงินรึเปล่า หากมีการหักเงินแล้วให้รอ 1 อาทิตย์แล้วโทรไปถาม Expanded Use Number 4 จาก Call center 1333 จะได้เลข 4 หลัก แล้วให้นำมากรอก เข้าไปที่ profile จะเห็นการ์ดที่เรา addไว้คลิ๊กที่ลูกศรเพื่อใส่รหัส 4 หลัก คำเตือนที่ 1ห้ามใส่ผิดถาม Expanded Use Number ผิดเกิน 3 ครั้งมิฉะนั้นบัตรใบนี้จะ Add ไม่ได้อีกเลย หากสำเร็จจะขึ้นดังนี้สถานะจะเปลี่ยนเป็น Verified คำเตือน 2 หาก Verify Account ผ่านแล้วหลังจากนี้หากมีเมลจาก Paypal ส่งมายัง E-mail ที่ลงทะเบียนไว้ให้กรอก User name กับ Password จงมั่นใจได้เลยว่าเป็นเมลปลอมที่จะหลอก Hack เพราะ Paypal ไม่มีนโยบายที่จะส่ง E-mail ให้ลูกค้า หากมีปัญหาใดๆให้ Login ไปยัง Account Paypal จะแจ้งไว้ที่หน้าแรกของ Account ของเพื่อนๆ ถ้ามีบัญชีธนาคากสิกรไทย แนะน าให้ใช้ E-web card สมัครแทนครับเดี๋ยวมาลงรายละเอียดให้อีกทีครับ
วิธี VERIFIED ACCOUNT โดยบัญชีธนาคารกสืกรไทย
1.เพื่อนๆที่มีบัญชีธนาคารกสิกรไทยอยู่แล้วให้ไปที่สาขาของธนาคาร เข้าไปขอ สมัคร e-internet กับทางธนาคาร (จะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 7 วัน ) 2.เมื่อได้รหัส (PIN1) และ (PIN2) มาแล้ว ก็ทำตามขั้นตอนที่ธนาคารระบุมา เมื่อเสร็จ แล้ว ให้คลิกที่ บริการอื่นๆ แล้วเลือกสมัคร e-web Sopping Card (ใช้เวลาประมาณ 1วันท าการ) ในขั้นตอนการสมัคร ท่านสามารถก าหนด วงเงินในการใช้จ่ายในบัญชี e-sopping card ได้ 3. หลังจากที่ Account ใช้ได้แล้วให้Log in เข้าไปในนั้นจะมีแสดง Card number ตัวเลขหน้าบัตร 16 หลัก/ วันหมดอาย>>>>ส่วนตัวเลขหลังบัตรให้ใช้เลข Dummy เหมือนบัตร Be1st>>>>ส่วนตัวเลข Expanded Use Number จะเช็คทาง Online ไดเลย>>>>ส่วนวิธีการ Verified ก็เหมือนขั้นตอนที่ 2


google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

ขั้นตอนการสมัคร K-Web Shopping Card

วิธีการสมัครนั้นจะมีขั้นตอนดังนี้ครับ
ให้เราไปเปิดบัญชีกับธนาคารกสิกรไทย พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับว่า
ขอสมัครใช้บริการ K-Cyber Banking
เจ้าหน้าที่เค้าก็จะให้แบบฟอร์มการสมัครมากรอกครับ ในแบบฟอร์มจะมีให้กรอก E-mail ด้วย
ตรงนี้สำคัญครับ ต้องกรอก E-mail ให้ถูกต้อง นะครับ เพราะว่าธนาคารจะใช้แจ้งข่าวสาร
และการเคลื่อนไหวทางบัญชีของเรา ผ่านเมล์นี้ และจะใช้แจ้งผลการอนุมัติใช้บริการ
K-Cyber Banking ด้วยครับ ที่สำคัญอีกอย่างคือเบอร์มือถือครับ
ต้องกรอกเบอร์โทรศัพท์มือถือให้ถูกต้อง ด้วยนะครับ เพราะเราต้องใช้มือถือเบอร์นี้ละครับ
จัดการเรื่องการรักษาความปลอดภัยทางบัญชีครับ
เมื่อเปิดบัญชีและสมัคร K-Cyber Banking เรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องรอประมาณ 1-2 วันได้ครับ
แล้วธนาคารก็จะส่งเมล์มาบอกเราว่าเราได้รับการอนุมัติให้ใช้บริการ K-Cyber Banking ได้แล้วนะ
และจะแจ้ง รหัส PIN สำหรับใช้บริการ K-Cyber Banking มาให้ด้วยครับ
เมื่อเราได้รับอนุมัติให้ใช้บริการ K-Cyber Banking พร้อมกับได้รหัส PIN มาแล้ว
ก็ให้เข้าไปที่หน้าเว็บธนาคารกสิกรไทย http://www.kasikornbank.com/
ให้ดูบริเวณด้านซ้ายมือนะครับ ตรงบริการออนไลน์ให้เรา เลือก K-CyberBanking ครับ
ตอนนี้เราก็จะเข้ามาสู่หน้าหลักของ K-CyberBanking แล้วครับ ให้เรา log in เพื่อเข้าสู่บริการ
K-CyberBanking โดยใช้เลขบัญชีธนาคารที่เราเปิดไว้ เป็นชื่อผู้ใช้งาน (user name)
และให้ใช้รหัส PIN ที่ธนาคารส่งมาให้เราทางเมล์เป็นรหัสผ่านครับ
เมื่อ log in เข้าไปได้แล้วก็จะมีให้เราอ่านเงื่อนไขการใช้บริการ ก็ให้เราเออๆออๆ กดยอมรับไปตาม
ระเบียบ แล้วเค้าก็จะให้เราตั้งชื่อผู้ใช้งาน (user name) และรหัสผ่านใหม่ เพื่อเอาไว้ใช้
log in เข้าใช้บริการ ในครั้งต่อๆไป เฉพาะชื่อผู้ใช้งานที่เราตั้งใหม่นี้เราจะไม่สามารถเปลี่ยนได้
แล้วนะครับ ยังไงจะตั้งชื่ออะไรก็คิดกันดีๆเน้อ.... แล้วก็อย่าลืมจดๆเอาไว้ด้วยนะครับ ทั้งชื่อผู้ใช้งาน
และรหัสผ่าน ของแบบนี้ลืมกันได้นะครับ...
เสร็จ แล้วก็จะเข้ามาสู่หน้าข้อมูลส่วนตัวของเราครับ เราก็ตรวจสอบดูว่าข้อมูลนั้นถูกต้องมั้ย
จะแก้ไขเพิ่มเติมตรงไหนก็ใส่ลงไป ตรงช่องที่มีเครื่องหมายดอกจัน (*) เราต้องเติมให้ครบนะครับ
เมื่อตรวจสอบทุกอย่างครบเรียบร้อยแล้วก็กดยืนยันได้เลยครับ.....
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการตั้งค่ารหัสรักษาความปลอดภัยครับ ตรงนี้ชอบมากเลยครับ เพราะว่าเค้ามี
บริการรหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP(One Time Password) ที่ชอบก็เพราะว่าทุกครั้งที่เรา
log in เข้าไปทำธุรกรรมเกี่ยวกับบัญชีของเราผ่านทางเว็บ เค้าจะมีให้เราใส่รหัสยืนยันเพื่อรักษา
ความปลอดภัยครับ ถ้าเราเลือกแบบ OTP นี้ รหัสรักษาความปลอดภัยดังกล่าวจะส่งผ่านมาทาง
เบอร์มือถือของเราครับ และทุกครั้งรหัสก็จะไม่ซ้ำกันด้วยครับ แบบนี้สะดวกดีเพราะเราไม่ต้องมานั่ง
จำรหัส แล้วรหัสผ่านก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปลอดภัยดีครับ ฉะนั้นจึงขอแนะนำให้เพื่อนๆ เลือกการตั้งค่า
รหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP นี้ครับ
เมื่อตั้งรหัสรักษาความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการตั้งค่าต่างๆครับ แล้วก็จะเข้าสู่หน้า
บัญชีของ K-Cyber Banking ของเรา ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของเรา และมีเมนูต่างๆ
ให้เราเลือกจัดการทำธุรกรรมกับบัญชีของเราครับ
ให้มองดูแถบเมนูทางด้านซ้ายมือนะครับ คลิกเลือกที่เมนู K-Web Shopping Card ครับ
แล้วเลือกที่ "สมัครใช้บริการ" ครับ จากนั้นเค้าก็จะให้เรากำหนดวงเงินที่เราจะใช้กับบัตร
K-Web Shoping Card ใบนี้ เราจะกำหนดเท่าไหร่ก็ได้ครับ เพราะยังไงเราก็สามารถมาปรับลด
หรือเพิ่ม ได้ตลอดอยู่แล้วครับ เมื่อกำหนดวงเงินเสร็จแล้วก็คลิก "ตกลง" ครับ แล้วจะมีเงื่อนไขในการ
ใช้บริการมาให้เราอ่าน อ่านเสร็จเราก็ต้องกด "ยอมรับ" ในเงื่อนไขนั้นครับ
จะมีการให้เราตรวจสอบความถูกต้อง และยืนยันการใช้บริการ โดยให้เราใส่รหัสรักษาความปลอดภัย
ถ้าเราเลือกรหัสรักษาความปลอดภัยแบบ OTP ก็จะมี sms ส่งมาบอกรหัส OTP ให้เราทางมือถือ
เราก็เอารหัสนั้นมากรอก ก็เป็นอันเรียบร้อย หน้าจอก็จะขึ้นว่าเราสมัครใช้บริการ
K-Web Shopping Card สำเร็จแล้ว จากนั้นให้เรารอประมาณ 1 วัน จะมีเมล์มาแจ้งเราว่า
บัตร K-Web Shopping Card ของเราได้รับการอนุมัติแล้ว
เมื่อบัตรได้รับการอนุมัติแล้ว ให้เราเข้าไป log in ที่ K-Cyber Banking
เมื่อ log in เข้าไปแล้วก็คลิกที่เมนู K-Web Shopping Card และเลือกดูรายละเอียดบัตร
แอ่น แอน แอ๊น... ได้ของสำคัญมาแล้วครับ ให้เราเอาปากกามาจดเลขบัตร 16 หลัก หมายเลข CVV
และจดวันบัตรหมดอายุ มาด้วยค่ะ เท่านี้ละค่ะเราก็สามารถเอารหัสเหล่านี้ไปทำการซื้อสินค้าออนไลน์
หรือนำไปสมัคร Paypal ได้แล้วครับ.....

การเปิดบัญชีผู้ขายกับอีเบย์

อีเบย์ จะแบ่งบัญชีออกเป็น 2 ประเภทคือบัญชีผู้ซื้อและบัญชีผู้ขาย
จุดประสงค์ของเราคือการเป็นผู้ขายในอีเบย์ ผมจึงขอกล่าวถึงขั้นตอนการเปิดบัญชี "ผู้ขาย" นะครับขั้นแรก เข้าไปที่ www.ebay.com ก่อนเลยครับกดที่ Sign in เลยครับ
(สำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีกับอีเบย์ ก็สมัครก่อนนะครับ ไม่ยากครับโดยเริ่มที่ Register)แล้วมองหาเมนู Site Map จะอยู่มุมบนด้านขวามือครับ แล้วก็กดโช๊ะเข้าไป หลังจากนั้นไปที่หมวดSelling Resources แล้วเลือก See all Selling Resourcesระบบจะพาเราไปที่หมวด Getting Started หลังจากนั้นให้กดเลือก Create Seller Accountหน้าต่อมา ระบบจะถามหา Password เพื่อเป็นการยืนยันการเปิดบัญชีผู้ขายของเราเราก็กรอก Password แล้วกด Sign inจากนั้นระบบจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเครดิตของเรา เราก็จักการให้เรียบร้อย แล้วกด
Continueทีนี้เราก็กลับไปที่ My eBay อีกครั้งกดที่เมนู My Account จะเห็นคำว่า Seller Account กดเข้าไปเลยครับระบบจะแสดงรายละเอียดบัญชี "ผู้ขาย" ของเรา เป็นอันเรียบร้อยครับ ขายของได้เลย

การสมัคร eBay

การสมัคร eBay
หากท่านสนใจไม่ว่าจะซื้อหรือขายสินค้าบน eBay ท่านต้องเป็นสมาชิกกับ eBay ก่อน จะเป็นสมาชิกกับ eBay USA, UK, Australia หรือที่ไหนๆก็ตาม ก็ถือเป็น eBay เดียวกันหมด
ทาง Siam iPort ได้ตรวจสอบแล้วว่า eBay Australia (www.ebay.com.au) สะดวกที่สุดในการติดต่อข้อมูล และที่สำคัญ ผู้ที่สนใจจะขายสินค้าไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตก็ได้ ไม่เหมือน eBay ที่อี่นที่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิต การสมัครนั้นสะดวกและฟรี เรามีตัวอย่างและคำแนะนำ ด้านล่างค่ะ


google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

การลงทะเบียนกับ
เมื่อท่านพบสินค้าที่สนใจ ท่านเพียงคลิกปุ่ม Place Bid เพื่อใส่ราคาที่คุณต้องการประมูล จากนั้น eBay จะให้ท่านสมัครสมาชิกก่อน การลงทะเบียนกับ eBay USA ต้องใช้อีเมล์ของท่าน 2 อีเมล์ ค่ะ
อีเมล์แรกเป็นฟรีอีเมล์เช่น Thaimail, hotmail, หรือ yahoo เป็นต้น
ส่วนอีเมล์ที่สองเป็นการยืนยันตัวตนของท่าน โดยต้องเป็น อีเมล์ซึ่งออกจากทาง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา บริษัท องค์กร หรือจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ซึ่งท่านจะสามารถตรวจสอบอีเมล์ได้ทันที (หากท่านไม่มีอีเมล์ดังกล่าวนี้ ใช้หมายเลขบัตรเครดิตแทนได้ค่ะ)
ขั้นตอนในการลงทะเบียนมีดังนิ้ค่ะ 1. กรอกข้อมูลชื่อที่อยู่ อีเมล์แรก(ฟรีอีเมล์) เลือก username และ password*** ท่านสามารถยืนยันตัวตนของท่านได้โดยใช้ อีเมล์ที่สอง หรือ หากไม่มี ท่านสามารถใช้บัตรเครดิตแทนได้ ***2. ตั้ง user ID และ password 3. จากนั้น eBay USA จะส่งอีเมล์มายังอีเมล์ที่สองของท่าน เป็นการตรวจสอบว่าเป็นอีเมล์ของท่านจริง โดยจะมี ลิ้งค์หรือปุ่มให้ท่านคลิกเพื่อยีนยันอยู่ในอีเมล์นี้ เมื่อท่านคลิกการลงทะเบียนก็จะเสร็จสมบูรณ์ ราคาที่ท่านประมูลก็จะปรากฎในหน้าสินค้านั้น
หากท่านมีข้อสงสัยเรามีคำแนะนำพร้อมตัวอย่างอยู่ทางด้านล่างนะคะ เมื่อพร้อมแล้วก็ลองเลือกสินค้า หรือ คลิกลิ้งค์สินค้าตัวอย่างที่เราจัดมาใหด้านล่างก็ได้นะคะ (คลิกขวาเพื่อเปิดหน้าต่างใหม่ก็ได้นะคะ เพื่อจะได้กลับมาดูตัวอย่างในหน้านี้)
เสื้อผ้า Abercrombie ราคาต่ำกว่า 100 บาท กระเป๋า Louis Vuitton ราคาต่ำกว่า 100 บาท นาฬิกา Tag Heuer ราคาต่ำกว่า 500 บาท กล้องดิจิตอล Sony ราคาต่ำกว่า 100 บาท เครื่องเล่น MP3 iPod ราคาต่ำกว่า 100 บาท
ตัวอย่างหน้าแรกของการลงทะเบียน
ขั้นตอนที่ 1 เป็นการกรอกข้อมูลส่วนตัวของท่าน
ก่อนอื่นขอให้ท่านคลิกเปลี่ยนชื่อประเทศ(ในภาพหมายเลข 7)ให้เป็น Thailand ก่อนลงข้อมูลอื่น
1. First Name (ชื่อจริง)2. Last Name (นามสกุล)3. Street address(ที่อยู่)4. City ( ตำบล, อำเภอ, เขต)5. Postal code (รหัสไปรษณีย์)6. State / Province / Region (จังหวัด)7. Country (ประเทศให้เลือก Thailand)8. Primary telephone (เบอร์โทรศัพท)9. Secondary telephone(Optional) : เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน (ไม่ใส่ก็ได้)10. Date of birth (วันเกิด)11 Email address (ใส่อีเมล์)12. Re-enter email address (ใส่อีเมล์อีกครั้ง)
ให้คลิกที่ช่องทั้ง 3 ช่องด้านล่างสุด เพื่อเป็นการยอมรับในข้อตกลงในการใช้เว็บ แล้วคลิกที่ปุ่ม Continue

ตัวอย่างหน้าที่ 2 ของการลงทะเบียน
เลือกใส่ อีเมล์ที่สอง หรือ บัตรเครดิตเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนของท่าน
สำหรับท่านที่มีอีเมล์ซึ่งออกจากทาง หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา บริษัท องค์กร หรือจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ให้คลิกที่ปุ่ม Enter a different email >
สำหรับท่านที่ไม่มีอีเมล์ดังกล่าว ท่านสามารถใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนของท่านได้ค่ะ

ใส่อีเมล์ที่สอง ในหน้าถัดไป
ใส่อีเมล์ซึ่งออกจากทาง หน่วยงานราชการ
สถาบันการศึกษา บริษัท องค์กร หรือจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต 2 ครั้ง

ตัวอย่างหน้าการตั้ง user ID และ password
ขั้นตอนที่ 2 เป็นการตั้งชื่อ user ID และ password รวมทั้งคำถามคำตอบในกรณ๊ที่คุณลืม password
1. Create your eBay User ID (ตั้งชื่อ username)2 . Create password (ตั้ง password)3 . Re-enter password (ใส่ password อีกครั้ง)4 . Secret question (คำถามเพื่อความปลอดภัย จะถามกรณีคุณลืมชื่อ username และ password)ตัวอย่างเช่นWhat street did you grow up? (สมัยเด็กคุณอยู่ถนนชื่ออะไร)
What is the name of your first school?(โรงเรียนแรกของท่านชื่ออะไร)
What is your pet's name?(สัตว์เลี้ยงของท่านชื่ออะไร)
5. Secret answer (คำตอบคำถามนั้น)

ตัวอย่างลิ้งค์เพื่อยืนยันการลงทะเบียน
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการยืนยันการเสร็จสมบูรณ์ในการลงทะเบียนผ่านอีเมล์
eBay จะส่งอีเมล์เพื่อให้ท่านยืนยันการลงทะเบียน ให้ท่านคลิกที่ปุ่ม Complete eBay Registration การลงทะเบียนก็จะเสร็จสมบูรณ์!


google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

รู้จักกับ eBay

google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);

รู้จักกับ eBay

หากอินเทอร์เน็ตคือห้วงจักรวาล อีเบย์ก็จะเป็นดาวเคราะห์ดวงแรกๆ ที่สุกสว่างอยู่ไม่ไกลจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดวงนี้พบสิ่งมีชีวิต และสินค้ามากมาย พื้นผิวดาวและบรรยากาศโดยรอบมีลักษณะที่ค่อนข้างสมบูรณ์ สาธารณูปโภคของประชากรค่อนข้างเพียบพร้อมและมีแนวโน้มว่าจะพัฒนาต่อเนื่องไปอย่างไม่หยุดยั้ง อีเบย์จึงเป็นดาวเคราะห์ดวงที่น่าสนใจและน่าจับตามองสำหรับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่มีวิสัยทัศน์ทั่วจักรวาลมานาน และนับวันจะมีจำนวนผู้ที่พากันเข้าไปอาศัย ศึกษา และเยี่ยมชมดาวเคราะห์ดวงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งห่างดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
อีเบย์เริ่มจากการเป็น Free Market หรือ ตลาดนัดขายของเก่าของวงการอินเทอร์เน็ต ที่อาศัยการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ ทฤษฎีทุนนิยม หลักจิตวิทยา พฤติกรรมมนุษย์ และ การพัฒนาของเทคโนโลยี เป็นบันไดไปสู่ความสำเร็จ จนสามารถเคลมว่าตัวเองเป็น “King of eCommerce” หรือ “ ธุรกิจแฟรนไชส์อีคอมเมิร์ซที่ทรงคุณค่าที่สุดในโลก” ในยุคนี้
หากมองในมุมของผู้ซื้อ อีเบย์เป็นร้านค้าออนไลน์ที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถหาของที่ตนเองต้องการได้เสมอไม่ว่ามันคืออะไร แม้ว่าจะไม่เคยใช้งานและไม่รู้จักใครเลยในแวดวงอีเบย์มาก่อน ขณะที่มิติของผู้ขาย อีเบย์ คือ แหล่งรวมลูกค้าชั้นดีจากทั่วโลก ที่พร้อมจะซื้อ ที่สำคัญมีกำลังพร้อมจ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ เพียงเพื่อชัยชนะแห่งการได้สินค้านั้นๆ มาครอง
กุญแจแห่งความสำเร็จของอีเบย์อยู่ที่การดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการประยุกต์หลักการตลาดในอุดมคติ ของ Adam Smith ซึ่งใช้พฤติกรรมมนุษย์เป็นเครื่องมือนำตลาดให้เปลี่ยนแปลงตามการเพิ่มขึ้นและลดลงของ อุปสงค์ และ อุปทาน นำมาใช้กับเทคโนโลยี eMarketplace บนอินเทอร์เน็ตได้อย่างชาญฉลาด ทำให้เกิดเป็นพื้นที่กลางในการติดต่อซื้อขายขึ้นสำหรับลูกค้าทั่วโลก ซึ่งอีเบย์สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มที่ได้อย่างไม่มีสิ้นสุด โดยทีมงานไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการซื้อขาย การจัดการคลังสินค้า การจัดส่ง หรือรับผิดชอบความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายแต่อย่างใด
หน้าที่ของอีเบย์จึงมีแค่ดูแลความเรียบร้อยของพื้นที่ อำนวยความสะดวก และเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น แล้วนำไปปรับปรุงพัฒนาให้ดีและรวดเร็วที่สุดเท่านั้น ซึ่งอีเบย์ก็สามารถทำหน้าที่นั้นได้ดีทีเดียว จากตลาดออนไลน์เล็กๆ บนอินเทอร์เน็ตอีเบย์สามารถพัฒนาไปสู่การเป็น eMarketplace ที่มีขนาดใหญ่ และ มีจำนวนสินค้ามากที่สุดในโลกได้ในเวลาไม่นาน แถมยังครองรักษาตำแหน่งแชมป์เว็บประมูลยอดนิยมระดับโลกได้ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
eBay Timeline
ประเทศสหรัฐอเมริกา
วันแรงงาน เดือนกันยายน 1995
อีเบย์ออนไลน์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในนาม AuctionWeb โดยการริเริ่มของ Pierre Omidyar ซึ่งเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อแลกเปลี่ยนและซื้อขายหลอดใส่ลูกอม Pez ของสะสมของแฟนสาว Pam Wesley ในเวลานั้นยังเป็นโปรแกรมที่มีหน้าตาเป็นสีขาว- ดำอยู่ และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ของบริษัทเล็กๆชื่อ Echo Bay Technology Group ที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคโนโลยีซึ่ง Pierre เป็นเจ้าของ สินค้าที่ Pierre ประเดิมขายเป็นชิ้นแรก คือ เครื่องชี้เลเซอร์ที่เสียแล้วของเขาในราคา $14
ฤดูใบไม้ร่วง 1995
Pierre เปิด Online Bulletin Board ขึ้นเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนคำถามและคำแนะนำระหว่างผู้ใช้ในขณะนั้น ซึ่งพัฒนามาเป็น eBay Community ในเวลาต่อมา
กุมภาพันธ์ 1996
Pierre คิดค้นระบบ Feedback Rating ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการประเมินความน่าเชื่อถือของสมาชิกเว็บแต่ละคน ซึ่งมีผู้ใช้จำนวนมากโพสต์เข้ามาสอบถาม แม้ว่าในระยะเริ่มแรกนี้การปรับปรุงพัฒนา AuctionWeb จะยังคงขึ้นอยู่กับ Pierre เป็นหลัก แต่เขาเองก็กล่าวว่าที่มาของฟังก์ชั่นสำคัญหลายๆ อย่างนั้นได้มาจากไอเดียของผู้ใช้ เช่นจากบรรดาอีเมล์ และ ความคิดเห็นมากมาย ที่ผู้ใช้ส่งเข้ามา ซึ่ง Pierre จะตอบในเวลากลางวัน และ นำไอเดียต่างๆ มาแก้ไขเว็บในเวลากลางคืน
กันยายน 1996
อีเบย์ครบขวบปีแรกพร้อมยอดขาย 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมทีมงานจำนวน 20 คน
1997
Pierre จดทะเบียน AuctionWeb ในนามของ eBay.com อย่างเป็นทางการ ตอนแรกเขาตั้งใจจะใช้ชื่อ EchoBay.com ตามชื่อบริษัทเล็กๆ ของเขา แต่โชคดีที่ชื่อนั้นมีเจ้าของแล้ว จึงลงเอยกับชื่อ eBay แทน และนั่นก็คือที่มาของชื่อเสียงเรียงนามธุรกิจดอทคอมอันมีมูลค่ามหาศาลในปัจจุบัน
ในปีนี้อีเบย์เริ่มขยับขยาย และมองหาผู้บริหารมือดีที่จะมานั่งเก้าอีหลักกุมบังเหียนด้านธุรกิจของบริษัท การขยับจากการเป็นเว็บทดลองมาเป็นบริษัทอย่างเป็นทางการ ทำให้อีเบย์ต้องพบกับปัญหามากมายจากการเติบโตอย่างรวดเร็วเกินรับมือ เช่น มีข้อมูลมากเกินบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเกิดจากการเข้ามาประกาศขายสินค้าที่มาขึ้นทุกวัน
เขาต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการตัดสินใจขึ้นค่าธรรมเนียมประกาศขายสินค้ากว่าเท่าตัวจาก 10 เซ็นต์ เป็น 25 เซ็นต์ พร้อมๆ กับตั้งลิมิตห้ามประกาศขายสินค้าเกิน 10,000 ชิ้นต่อวัน ซึ่งแทนที่จะทำให้คนประกาศขายของน้อยลง ลูกค้าอีเบย์กลับยินดีจ่ายเพิ่ม และยอมตื่นเช้าขึ้นเพื่อแย่งกันโพสต์ของขึ้นขายก่อนคู่แข่ง ปีนั้นนับเป็นปีที่โหดเอาการทีเดียวสำหรับบริษัทที่เพิ่งแจ้งเกิดอย่างอีเบย์
มกราคม 1998
Margaret C. Whitman เปิดประตูเข้าสู่อีเบย์ในตำแหน่ง CEO
กุมภาพันธ์ 1998
โอกาสที่ไม่เหมือนใครซึ่งอีเบย์มอบให้ทำให้เกิดการทุจริตขึ้นในวงการประมูลออนไลน์มากขึ้น อีเบย์จึงต้องรับมือด้วย Safe Harbor Program เพื่อป้องกันและปราบปรามการโกงในการติดต่อซื้อขาย
กันยายน 1998
อีเบย์จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน ราคาหุ้นของอีเบย์ที่กำหนดไว้ครั้งแรกคือ1.97 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น ปัจจุบันราคาหุ้นอีเบย์มีราคาสูงขึ้นมากถึง 21 เท่า หรืออยู่ที่ราว 42 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น
เมษายน 1999
เริ่มโครงการ "Voice of the Customer" ซึ่งอีเบย์จะสปอนเซอร์ให้สมาชิก 10 รายจากทั่วสหรัฐอเมริกาบินไปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ เพื่อพูดคุยกับผู้บริหารซึ่งเปรียบเสมือนการทำการวิจัย Focus Groups ชั้นดีของอีเบย์ซึ่งจะทำขึ้น 8 ครั้งต่อปีเพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาเว็บไซต์และบริการของอีเบย์ต่อไป
10 มิถุนายน 1999
อีกวันที่อีเบย์จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หลังจากเซิร์ฟเวอร์ของอีเบย์ล่มหยุดทำงานนาน 22 ชั่วโมง Meg Whitman CEO ของอีเบย์ต้องสั่งให้พนักงานบริษัททั้ง 400 คนในขณะนั้นหยุดทำงานทุกอย่าง เพื่อช่วยกันโทรศัพท์ไปขอโทษลูกค้าทุกรายด้วยตัวเอง การแก้ไขสถานการณ์ของซีอีโอ ได้รับคำนิยมและกล่าวขวัญถึงว่าการรับมือกับปัญหาที่สามารถชนะใจลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม
สิงหาคม 1999
อีเบย์เห็นโอกาสของตลาดรถมือสองที่ค่อยๆ เพิ่มความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนในอีเบย์ จึงตัดสินใจเพิ่ม Category เกี่ยวกับรถยนต์เก่าและอะไหล่ขึ้นอย่างเป็นทางการ
2000
ธุรกิจอีเบย์ส่วนมากในระยะนี้ทำกำไรให้เจ้าของธุรกิจแทบทุกรายอย่างงาม เนื่องจากค่าใช้จ่ายน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ ทำให้ผู้ขายรายใหม่ๆ เริ่มมากขึ้น เกิดกระแสการหันมาขายของในอีเบย์แทนที่จะขายของเปิดท้าย หรือเปิด Garage Sale ในหมู่ชาวอเมริกัน
เมษายน 2000
ในที่สุด Category รถยนต์ในอีเบย์ก็กลายเป็น eBay Motors อย่างเต็มตัว
กรกฎาคม 2000
อีเบย์ซื้อธุรกิจอีคอมเมิร์ช Half.com ซึ่งเดิมขายหนังสือและซีดีที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด ในรูปแบบ Fix-Price เพื่อขยายบริการของอีเบย์ ให้ครอบคลุมการซื้อขายทั้ง 2 รูปแบบ คือทั้ง ประมูล และ Fix-Price
ปัจจุบัน 27% ของการซื้อขายทั้งหมดของอีเบย์มาจากการซื้อขายแบบ Fix-Price ซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก16% และ ราวๆ 1% ในปีก่อนหน้านั้น
สิงหาคม 2000
เพื่อรับมือกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วขณะที่ฟังก์ชั่นเพิ่มขึ้นทุกวัน เริ่มทำให้การใช้อีเบย์ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อีเบย์ตัดสินใจสร้างระบบการให้ความรู้ลูกค้าอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว eBay University เพื่อให้บริการเรื่องการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ และการเรียนรู้การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ของอีเบย์โดยเฉพาะ รวมทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำธุรกิจอีเบย์ด้วย
หลังจากความสำเร็จของ Category รถยนต์ อีเบย์ก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อด้วยการเพิ่ม Category เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เข้าไปในประเภทสินค้า ซึ่งเป็นที่มาของ Rent.com ในปัจจุบัน โดยสามารถปิดการขายอสังหาริมทรัพย์ได้เฉลี่ย 25 รายการต่อวัน
หลังจากอีเบย์ประกาศเปิดพื้นที่ให้แก่การโฆษณาประเภท Banner Ad เหล่าสมาชิกอีเบย์ก็ตอบโต้ด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ซึ่งถูกขนานนามว่า Million Auction March
มกราคม 2001
การเปิดให้ใช้ฟังก์ชั่น Buy It Now เป็นครั้งแรก เปิดโอกาสให้มีการซื้อขายอย่างรวดเร็วด้วยรูปแบบ Fix-Price ซึ่งปัจจุบัน 40% ของการประกาศขายสินค้าทั้งหมดใช้ฟังก์ชั่นนี้
กรกฎาคม 2001
เปิดตัวอีกทางเลือกของการขายในรูปแบบพื้นที่หน้าร้านออนไลน์ ในนามของ eBay Stores บริการเสริมที่อำนวยความสะดวกและเปิดโอกาสให้กับผู้ขายมากขึ้น ซึ่งมีผู้สมัครกว่า 30,000 รายในทันทีที่เปิดให้บริการ
กรกฎาคม 2002
อีเบย์ทุ่มงบซื้อหุ้นของระบบจ่ายเงินทางอินเทอร์เน็ต PayPal รวมมูลค่า $1.5 พันล้านเหรียญ เพื่อใช้เป็นบริการจ่ายเงินหลักของอีเบย์และเว็บไซต์ในเครือ
22 มิถุนายน 2004
อีเบย์ซื้อหุ้นของเว็บประมูลอินเดีย www.baazee.com รวมมูลค่า $50 ล้าน เพื่อรวมให้เป็นหนึ่งในเครือข่ายเว็บลูกทั่วโลกของอีเบย์
กันยายน 2004
อีเบย์ซื้อหุ้นจำนวน 3 ล้านหุ้น ในราคา 125,000 วอน หรือ $109 ต่อหุ้นจาก Internet Auction Co. เว็บประมูลซึ่งเป็นคู่แข่งหลักในเกาหลี
3 ธันวาคม 2004
พบกับอีกขั้นของการค้นหาสินค้า เมื่ออีเบย์เพิ่มฟังก์ชั่น Want It Now เพื่อช่วยผู้ซื้อหาสินค้าที่ยังไม่มีวางขาย ด้วยการ Search สินค้าที่ประกาศขายใหม่บนอีเบย์ทุกชิ้น ทุกวัน ตลอดหกเดือนและแจ้งกลับทันทีที่พบของที่ต้องการ
16 ธันวาคม 2004
อีเบย์ซื้อธุรกิจ Rent.com มาในราคา $415 ล้าน
มกราคม 2005
อีเบย์เกริ่นเรื่องการขึ้นค่าบริการเป็นครั้งที่ห้าในรอบอายุห้าปี ซึ่งหากเป็นไปตามที่ประกาศการขึ้นค่าบริการครั้งนี้จะเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อีเบย์
19 มกราคม 2005
ปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่ตลาดหุ้น หลังจากอีเบย์ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าในไตรมาสแรกบริษัทสามารถทำยอดขายและกำไรได้สูงขึ้น 44% แต่กลับทำให้ราคาหุ้นของอีเบย์ตกลงถึง 19% ในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายและกำไรที่ไม่มากเท่าที่นักลงทุนคาดหวัง หลายๆ คนพากันตั้งข้อสังเกตว่าอีเบย์อาจจะกำลังเข้าสู่ขาลง
แต่อีเบย์กลับโต้ตอบความตื่นตระหนกของนักลงทุนด้วยการตัดสินใจลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ( สูงกว่าที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 50 ) ในธุรกิจใหม่ๆ เช่น PayPal และเว็บอีเบย์ในประเทศจีน
18 กุมภาพันธ์ 2005
วันนี้คือวันที่การประกาศขึ้นค่าบริการครั้งล่าสุดของอีเบย์มีผลบังคับใช้ในที่สุด แม้ว่ามันจะทำให้สมาชิกอีเบย์ไม่พอใจ และพร้อมใจกันถอนตัวจากอีเบย์เป็นจำนวนมาก และผู้ใช้กว่า 24,000 รายก็ได้รวมตัวกันทำบัญชีหางว่าวเพื่อต่อต้านการขึ้นราคาครั้งนี้ด้วย เนื่องจากมันจะมีผลกระทบต่อผู้ใช้อีเบย์ทุกๆ ราย โดยเฉพาะผู้ที่มี Virtual Store อยู่บนอีเบย์ซึ่งจะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้อีเบย์สูงถึง 8% จากเดิม 5.25% หลังการประกาศขึ้นค่าบริการของอีเบย์ มีการรายงานตัวเลขว่าร้านค้า eBay Stores นั้นได้พร้อมใจกันปิดตัวลงถึง 7,000 ร้านในเพียงเวลา 5 สัปดาห์
นักวิเคราะห์กล่าวว่าการขึ้นราคาค่าธรรมเนียมของอีเบย์นั้นจะสามารถเพิ่มรายได้ให้อีเบย์เพียง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 1 จากยอดขายรวมที่คาดไว้ของปีนี้ที่ 4.3 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ในขณะที่การเพิ่มค่าธรรมเนียมจะเป็นเหตุให้จำนวนผู้ขายลดลง รวมทั้งทำให้ผู้ขายเก่าขาดความจงรักภักดีในแบรนด์อีเบย์ด้วย
แม้ว่าจะมีจำนวนผู้ที่เลิกใช้อีเบย์ไม่มากเท่าปากพูด เนื่องจากอีเบย์ยังคงเป็นพื้นที่การขายที่มีการเคลื่อนไหวสูง มีสมาชิกเข้าออก และใช้บริการสูงสุด จนคุ้มค่าจ่ายแพง แต่อีเบย์ก็ควรต้องระวังการพัฒนาของคู่แข่งอย่าง Amazon, Yahoo, Google , Google Search Engine Ad และ Overstock เว็บประมูลรายใหม่ที่กำลังมาแรงซึ่งอ้างว่าจำนวนการประกาศขายสินค้านั้นเพิ่มขึ้นพรวดพราดถึง 50% ทันทีที่อีเบย์ประกาศขึ้นราคาค่าธรรมเนียม
แม้ว่าในปัจจุบันประสบการณ์การถูกฉ้อโกงจากการซื้อขายจะเป็นอีกปัญหาหลักที่ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งปฏิเสธที่จะซื้อขายผ่านอีเบย์ต่อไป แต่ถึงกระนั้นอีเบย์ก็ยังคงอ้างสถิติว่าในการซื้อขาย 200 ครั้ง จะมีน้อยกว่า 1 ครั้งที่ล้มเหลว และเกิดการโกงผ่านเครดิตการ์ดเพียง 0.09% เท่านั้น นอกจากนั้นอีเบย์ยังใช้พนักงานถึง 1,000 คน จากจำนวนพนักงานทั้งหมด 4,000 คนในปัจจุบัน เพื่อทำหน้าที่ปราบปรามการฉ้อโกงในการซื้อขาย
แต่ไม่ว่ากระแสวิพากษ์วิจารณ์อีเบย์จะเป็นเช่นไร เว็บไซต์ประมูลออนไลน์เจ้าใหญ่ที่สุดของโลกรายนี้ก็ยังสามารถทำยอดรวมในด้านต่างๆ ได้สูงกว่าคู่แข่งทุกรายแบบลอยลำ และยังมองว่าความสมบูรณ์ขึ้นของระบบอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ทั่วโลกในปีนี้จะทำให้ธุรกิจโดยรวมของอีเบย์ดีขึ้นอีกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะการประกาศขายจะสามารถพัฒนามาใช้รูปแบบของวิดีโอ และเสียงเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกและช่วยให้การตัดสินใจซื้อเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วย
eBay Facts & Figure
ปัจจุบันอีเบย์มีสมาชิกราว 135.5 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งเปรียบได้กับประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 11 ของโลก ในจำนวนนี้เป็นสมาชิกที่ใช้งานประจำราว 56.1 ล้านราย ในขณะที่ 264,000 รายมี eBay Store ของตัวเอง
ในปี 2004 มีสินค้าที่ประกาศขายบนอีเบย์ทั้งหมดประมาณ 1,400 ล้านชิ้น ขึ้นจาก 971 ล้านชิ้นในปี 2003 และมีสินค้าประกาศขายใหม่ประมาณ 3 ล้าน 5 แสนชิ้นต่อวัน ซึ่งสามารถแบ่งแยกหมวดหมู่ออกได้ถึง 45,000 หมวดหมู่
ในปี 2004 ที่ผ่านมาอีเบย์มียอดขายรวม $34,200 ล้าน ซึ่งคิดเป็นยอดขายประมาณ $1,084 ต่อหนึ่งวินาที ขึ้นมา 44% จากยอดขายรวมในปี 2003 ที่ $23,800 ล้าน และมีกำไรสุทธิ $3,270 ล้าน เพิ่มขึ้น 51% จากปีก่อน $ 2,170 ล้าน สินค้าที่ขายดีที่สุดในปี 2004 ได้แก่ รถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า และ เครื่องประดับ และ 46% ของจากยอดขายทั้งหมดเป็นการซื้อขายแบบข้ามชาติ
หลังจากจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนอีเบย์ก็สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นถึง 70% ได้ทุกปีเรื่อยมา ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการธุรกิจโลก กำไรโดยรวมที่สูงอยู่แล้วก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 73% เมื่อสี่ปีที่แล้ว เป็น 82% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ธุรกิจโดยรวมของอีเบย์ก็เติบโตอย่างรวดเร็วที่ 50% ต่อปี
eBay Myth : ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอีเบย์
- อีเบย์เป็นแหล่งขายสินค้าเก่าเท่านั้น ความจริง แล้วมีสินค้าใหม่มากมายบนอีเบย์ ตั้งแต่ CD หนังสือ เสื้อผ้า ไปจนถึง คอมพิวเตอร์ เครื่องตัดหญ้า และ รถยนต์
- อีเบย์เป็นพื้นที่การขายแบบประมูลเท่านั้น ปัจจุบันสามารถซื้อขายสินค้าแบบ Fix-Price ได้ทันทีจากฟังก์ชั่น “Buy It Now” หรือ เข้าไปใช้บริการของ stores.ebay.com หรือ half.ebay.com
- อีเบย์ขายเฉพาะของสะสมเท่านั้น ปัจจุบันอีเบย์มีสินค้าหลากหลายถึง 11 ประเภทใหญ่ๆ ไม่นับสินค้าเพื่อการสะสม ซึ่งมียอดขายลดลงจาก 60% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดในปี 1999 เป็น 13% ในปี 2002 ในขณะที่สินค้าปกติ เช่น เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เพิ่มจาก 40% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดในปี 1999 เป็น 87% ในปี 2003

Amazon มีกฏอย่างไรมั่ง

1. เว็บไซต์ที่ใช้ในการสมัคร
– ไม่มีชื่อโดเมนที่คล้ายกับ Amazon ครับ เช่น Amezon.com
– ไม่โปรโมทหรือมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับพวกลามกอนาจาร
– ไม่โปรโมทหรือมีเนื้อหาที่รุนแรงต่อต้านศาสนาและสังคม
– โปรโมทหรือมีเนื้อหากีดกันทางเชื้อชาติมศาสนา และเพศ
– โปรโมทหรือเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งผิดกฏหมาย
2. Link/Widgets
– คุณสามารถจะวางกี่แบบก็ได้ในหนึ่งเว็บไซต์
– สามารถสลับสับเปลี่ยนใช้งานเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ Amzon ทราบ

ขั้นตอนในการโปรโมท astore

1 เมื่อได้ astore แล้ว ให้เท่านนำ url นี้ไปทำการ submit ตาม search engine ต่างๆ ได้เลย
- google.com ไปที่ http://google.com/addurl
- yahoo.com ไปที่ http://siteexplorer.search.yahoo.com/submit
- live.com ไปที่ http://search.msn.com.sg/docs/submit.aspx
- และวิธีสุดท้ายคือ submit ทีเดียว 50 search engines ไปเลย ไปที่
http://freewebsubmission.com/
2. นำ url ของบล็อกของเราไป post ตามที่ต่าง ๆ เช่น เว็บบอร์ดต่าง ๆ โดยอาจทำเป็นลายเซ็นต์
(ส่วนที่จะะปรากฏต่อท้ายการ post ข้อความของเราใน เว็บบอร์ดครับ) เพื่อให้ search engine
robot พบได้ง่าย ๆ และ บ่อย ๆ
3. ทำบล็อก(ทำฟรีจาก www.blogger.com) แล้ว ใส่เนื้อหาเกี่ยวข้องกับ astore ของเรา
(หาบทความฟรีได้จาก http://www.isnare.com/) จากนั้นก็ใส่Link, Widget, Banner
หรือ Link จาก astore ที่เราทำไว้ ลงในบล็อกนั้น ๆ ถ้าบล็อกของเรามีคนเข้าคลิกบ่อย ๆ
ก็จะได้อันดับใน Search Engine ดีขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับวิธีใส่ Banner,Widget,Link ลงใน Blogger ทำโดย คลิกล็อกอินเข้าไป
ในแอ็คเค้าท์ของเราที่www.blogger.com
ต่อไปคลิกที่เมนู Layout(ข้างบนทางซ้ายมือ) ต่อไปที่ Add a Badget (ทางขวามือ)
แล้วเลือกชนิดของโฆษณาที่เราจะใส่ลงไป เช่น HTML/JavaScript
ก็ใส่ลิงค์ที่เราก้อปปี้วางลงในช่อง content
(ตรงช่องSubject จะใส่อะไหรือไม่ก็ได้) แล้วคลิกที่ save (อยู่ล่างทางซ้ายมือ)

วิธีสร้าง aStore Amazon

วิธีสร้าง aStore Amazon
วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง และเลือกโดยAmazonวิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าด้วยตนเอง1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com/
2เมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย

เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)

เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page

ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าด้วยตัวท่านเอง

ดังนั้นให้เลือก Add individual product และคลิกที่ Add product
7.เมื่อหน้าใหม่ขึ้นมา ตรงที่ Search ให้เลือกหมวดสินค้าช่องบนก่อน แล้วใส่ชื่อสินค้าในช่องล่าง

จากนั้นคลิก Go ก็จะมีสินค้าขึ้นมาให้เลือก อยู่ทางข้างขวามือ ท่านอยากได้สินค้าตัวไหน

ก็คลิกคำว่า Add ข้างหน้าของสินค้าตัวนั้น รูปของสินค้าตัวนั้นก็จะมาปรากฏที่ช่องล่างสุด

ให้คลิกสินค้าได้จำนวนไม่เกิน 540 ชิ้น(จะน้อยกว่าก็ได้) จนพอกับความต้องการ
8.พอได้สินค้าใน category แรกตามจำนวนต้องการแล้ว หากต้องการสินค้าcategory อื่น

ก็คลิกที่ Back to Category แล้วดำเนินการเหมือน category แรก เมื่อได้สินค้าในCategory

ต่างๆครบถ้วนแล้ว ก็ให้ท่านคลิกที่ Save changes และ Continue
9.หน้านี้เป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
10.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
11ใมาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore

ไปโปรโมท หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo

ก็นำลิงค์จากช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง

HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.---------------------------------------------------------------วิธีสร้าง aStore โดยวิธีเลือกสินค้าโดย Amazon1.ท่านเข้าไปในบัญชีของท่านใน http://affiliate-program.amazon.com
2ใเมื่อเข้าไปแล้วต่อไปให้ท่านเลือกคลิกที่เมนู aStore
3.เมื่อเปิดหน้าใหม่ ให้คลิกที่ Add an aStore
4.ต่อไปเป็นการเลือก Tracking ID เขานิยมตั้งให้สอดคล้องกับสินค้าที่เราจะขาย

เช่น สินค้าตัวนั้นชื่อ Omron เขาจะตั้งว่า buy.cheap.omron(ใส่จุดคั่นแต่ละตัว)

เมื่อคลิก Search แล้วใช้ได้ (available) ก็ให้คลิกต่อไปที่ Continue
5.เมื่อมาถึงหน้า Create aStore Pages ให้คลิกที่ Add Category Page

ตรงช่องCategory Title ใส่ชื่อสินค้า เช่น Sony
6.การเลือกสินค้ามีให้เลือก 3 ทาง แต่ในที่นี้เป็นการอธิบายเรื่องการเลือกสินค้าโดย Amazon

ดังนั้นให้เลือกที่ Add products by Amazon.com

และคลิกที่ Select an Amazon Category
7.จากนั้นก็จะมีหมวดสินค้ามาให้เลือก ตรวจดูว่าท่านจะเลือกสินค้าหมวดใด

เมื่อเลือกหมวดสินค้าเสร็จแล้ว จากนั้นคลิกทำเครื่องหมายถูกหน้า

Include all subcategories for this category

แล้วคลิก Save Changes และ Continue
8.หน้าต่อไปเป็นองค์ประกอบของหน้าสินค้าของท่าน ไม่ต้องดำเนินการใดๆ ให้คลิกที่ Continue
9.มาถึงหน้า Sidebar Widgets ไม่ต้องทำอะไร ให้คลิกที่ Finish & Get Link
10.มาถึงหน้า Your store has been published คือหน้าที่ท่านจะเอาลิงค์ aStore ไปโปรโมท
-หากท่านจะนำไปโปรโมทด้วยการนำไป add url ตามเว็บดังๆ เช่น google,yahoo ก็นำลิงค์จาก

ช่อง Simple link to my store as a standalone site ไปใช้
-หากท่านจะเอาไปใส่โฆษณาลงใน blog ของ blogger.com ของท่าน โดยใส่ลงในช่อง

HTML/java Script ก็เอาลิงค์จากช่อง Embed my store using an inline frame ไปใช้ครับขั้นตอนมีเท่านี้ครับผม.


ตัวอย่าง (สั่งซื้อได้เลยนะครับ หุหุ..)

7 ข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นในการทำโฆษณาให้ Amazon

1. เลือกสินค้าที่ไม่ดีมาทำโฆษณาเรื่องนี้ Amazon Affiliate มือใหม่จำนวนมากจะเป็นครับ เพราะหลายๆ คนพอเริ่มลองทำโฆษณา Amazon ก็ไม่รู้ว่า ควรจะเลือกสินค้าอย่างไรดี ไม่รู้วิธีการดูว่าสินค้าไหนที่มีโอกาสทำกำไรได้ ไม่เคยคำนวณรายรับ รายจ่าย กำไรของแต่ละสินค้าก่อนทำโฆษณาเลยสักนิดเดียว ยังไงพยายามใช้เวลาในการเลือกสินค้าให้มากขึ้น ศึกษาและเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชิ้น แล้วเลือกสินค้าที่มีโอกาสทำกำไรได้มากที่สุดมาทำโฆษณาก่อนเสมอจะดีที่สุดครับ
2. ใช้ Keywords กว้างเกินไป ทำให้คนซื้อน้อย และ Conversion Rateต่ำอย่างหนึ่งที่เราต้องรู้คือ สินค้าที่คนซื้อจาก Amazon ส่วนมากแล้ว จะเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงมากเกินไปนัก ดังนั้นถ้าหากเราใช้ Keywords กว้างเกินไปจะทำให้ค่า Conversion Rate เราต่ำมากๆ จึงทำให้รายได้ที่เราได้จากการโฆษณาไม่คุ้มกับค่าโฆษณาที่เสียไปครับ ดังนั้นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ พยายามใช้เฉพาะ Keywords ที่เจาะจงมากๆ เท่านั้นเพื่อให้ทุกคนที่คลิกเข้ามา กลายเป็นผู้ซื้อสินค้าให้มากที่สุดครับ
3. เขียนข้อความโฆษณาได้ไม่ดีคนที่เพิ่งทำโฆษณาใหม่ๆส่วนมาก จะไม่ยอมเขียนรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน จะเขียนโฆษณาเพียงแค่แนะนำให้คนเข้าไปซื้อสินค้าใน Amazon เท่านั้น ซึ่งคนส่วนมากก็จะไม่คลิก และถึงคลิกก็ไม่ค่อยซื้อสินค้าอย่างแน่นอนครับ นอกจากนั้นแล้ว การเขียนโฆษณาไม่ดียังทำให้ CTR ของเราต่ำทำให้ค่าบิดเราแพงกว่าคนอื่นๆด้วยครับ แนะนำให้ทุกคนเขียนข้อความโฆษณาให้เจาะจงและเหมาะกับ Keywords ที่เราใช้ครับ พยายามนำ Keywords ไปใส่ในหัวข้อโฆษณาและใส่รายละเอียดที่สำคัญของสินค้าลงไปในโฆษณาด้วยครับ
4. ใช้ Landing Page ที่ไม่เหมาะสมหลายคนที่ทำโฆษณา Amazon มักจะส่งคนคลิกโฆษณาไปยังหน้า Homepage หรือหน้าเปรียบเทียบสินค้าหลายๆอย่าง เพราะคิดว่าคนคงจะไปตามหาสินค้าที่ตนเองต้องการได้ แต่ผิดถนัดครับ คนบนโลกออนไลน์มักจะไม่ค่อยชอบเสียเวลาหาสินค้าเองสักเท่าไหร่ ทำให้การใช้ Landing Page อย่างนี้ เรามักจะมีแต่คลิกอย่างเดียว แต่ไม่มี Order เลยสักอัน ดังนั้นต่อไปขอให้เราทำโฆษณาโดยส่งคนไปยังหน้า Landing Page ที่เจาะจงมากที่สุด ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเองครับ และจากเท่าที่ได้พูดคุยกับ Amazon Super Affiliate ทั้งหลาย ก็พบว่า หน้าที่คนเหล่านี้ใช้เป็น Landing Page กัน ก็คือ หน้ารายละเอียดของสินค้านั่นเอง
5. ไม่ยอมทำการวัดผลโฆษณา หรือ ไม่มีรูปแบบการวัดผลที่ดีพอการวัดผลโฆษณาของ Amazon เป็นอะไรที่ลำบากกว่าการวัดผล Affiliate Program เจ้าอื่นๆ เพราะต้องทำเยอะมาก ส่งผลให้หลายๆ คนไม่ยอมทำการวัดผลเลย หรือบางคนทำแล้วแต่ไม่ทำการวัดผลที่ละเอียดพอ ก็ทำให้ไม่สามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น ให้ทำกำไรมากขึ้นได้ คำแนะนำเดียวเลยครับว่า ถ้าหากเราไม่ทำการวัดผลโฆษณา เราย่อมไม่สามารถทำกำไรได้แบบยั่งยืน ดังนั้นต่อให้ต้องเหนื่อย ต้องเก็บรายละเอียดมากแค่ไหนเราก็ควรต้องทำการวัดผล เพื่อให้เราทราบสถานะธุรกิจของเราอยู่เสมอครับ
6. ไม่ยอมศึกษาและวิเคราะห์สถิติต่างๆให้ดีสถิติต่างๆที่เราหามาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากการวัดผลของเราเอง หรือ จากการใช้เครื่อง มือต่างๆหามาได้ มีความสำคัญมาก แต่คนทั่วไปกลับไม่ค่อยเห็นคุณค่า และมักจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้อยู่เฉยๆ ไม่ยอมนำมาวิเคราะห์เพื่อศึกษาหาแนวทางใหม่ๆในการทำธุรกิจทำให้สุดท้ายแล้ว เราก็จะเริ่มถูกคู่แข่งของเราไล่ตามเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และอาจจะแซงเราไปในที่สุดครับ ยิ่งเราสามารถวิเคราะห์และนำสถิติมาใช้ในการทำธุรกิจได้เยอะเท่าไหร่ เรายิ่งจะประหยัดเวลา และ เพิ่มกำไรในธุรกิจได้มากขึ้นเท่านั้นครับ ดังนั้นเริ่มจาก วันนี้ครับ ลองเข้าไปดู Report ต่างๆของ Amazon ลองมองให้เข้าใจว่า แต่ละคอลัมน์สื่อถึงอะไรบ้าง และข้อมูลอะไรที่เราสามารถนำไปใช้ได้บ้างครับ
7. ไม่ยอมติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นต่างๆAffiliate จำนวนมาก มักจะหมกหมุ่นอยู่กับการทำโฆษณาสินค้ามากเกินไป จนลืมที่จะอ่านข้อมูลข่าวสารอื่นๆรอบๆตัว ทำให้หลายๆครั้ง แม้เราจะเก่งโฆษณาแค่ไหนก็ตาม ก็อาจจะทำเงินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเราไม่สามารถหาโอกาสงามๆให้เราได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ครับ ทาง Amazon จะแจ้งข่าวสารและโปรโมชั่นสินค้าใหม่ๆให้ทาง Affiliate รับรู้อยู่เสมอ ขอให้เราใช้เวลาสักวันละ 20 นาทีในการอ่านข่าวสารใหม่ๆครับ รับรองว่าเราจะเก่งขึ้นและทำเงินได้มากขึ้นเองโดยอัตโนมัติเลยครับ
เมื่อรับรู้ข้อผิดพลาดทั้ง 7 ข้อแล้ว ก็อย่าลืมดูนะครับว่า ที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จนั้น เรากำลังทำผิดในข้อไหนอยู่หรือเปล่า ก็ขอให้รีบแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ รับรองว่าวันหนึ่งต้องกลับมาทำกำไรได้แน่นอนครับ

รู้จักกับ Amazon

ในหมู่เว็บไซต์ขายของด้วยกันนั้น Amazon.com เป็นเว็บไซต์รายใหญ่ ที่เริ่มต้นจากการขายหนังสือ

จนปัจจุบันได้ขยายขอบข่ายของสินค้าที่จำหน่ายบนเว็บไซต์แห่งนี้ได้อย่างครบคลุมเกือบทุกประเภท

มิหนำซ้ำยังให้ราคาที่ดีกว่าเว็บไซต์บางแห่งอีกด้วย สำหรับเรื่องค่านายหน้าที่ได้รับจะอยู่ที่ 4 - 8.5%

ของราคาขาย ขึ้นอยู่กับหมวดสินค้าการสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ Amazon ทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ผู้ที่สมัครจะต้องมีบล็อก

หรือเว็บไซต์ของตัวเองก่อน แล้วนำเว็บไซต์ที่คิดว่าดูดีที่สุด มีเนื้อหาสาระอยู่แล้วพอสมควรไปสมัคร

กับทาง Amazon.com ด้วยการเข้าไปที่เว็บไซต์ Amazon.com แล้วคลิกที่ Join Associate

(อยู่เมนูข้างล่างสุด)แต่ที่สำคัญนั้นมีข้อแนะนำจากท่านผู้รู้ว่าไม่ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีการติดโฆษณา

อยู่แล้วไปสมัครลักษณะของการเป็น Affiliate กับทาง Amazon นั้น จะเป็นการนำสินค้าที่วางอยู่บนเว็บ Amazon

มาจำหน่าย ซึ่งทำให้เราสามารถสร้างร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าเฉพาะอย่างได้ เช่น

ร้านขายเครื่องประดับ ร้านขายเครื่องตัดหญ้า ร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านขายเสื้อผ้า

ร้านขายเครื่องครัว เป็นต้น หรืออาจจะทำเป็นร้านขายสินค้าหลากหลายในร้านเดียวก็ได้โดยการสร้างร้านค้า หรือที่เรียกว่า astore นั้นก็ไม่ยากเย็นเข็ญใจตรงไหน เพียงนำแบนเนอร์

(Banner) ที่เราสร้างไว้กับทาง Amazon.com ไปติดที่หน้าเว็บไซต์หรือบล็อกของตนเองได้เลยสำหรับค่าCommission ที่ท่านจะได้จากการขายสินค้าให้กับ Amazon.com นั้น ซึ่งปัจจุบัน

Amazon Associates กำหนดไว้ต่ำสุดที่ 4% และสูงสุดที่ 8.5% ยกเว้นหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้

4% แต่ไม่เกิน $25 ต่อชิ้น เช่น ถ้าเราขายทีวีได้ในราคา $2,000 เราก็จะได้ $25 ซึ่งจริงๆ

แล้วเราควรจะได้ $80 (2,000x4% = 80) แต่ก็มีสินค้าบางกลุ่มที่สามารถได้รับค่าคอมมิสชั่น

สูงถึง 10% และ 15%ส่วนการชำระเงินค่านายหน้าของ Amazon จะจ่ายเป็นเช็คหรือโอนเข้าบัญชีธนาคาร

โดยหลังจากสมัครและเริ่มทำการขายสินค้าไปแล้ว 2 เดือน หากทำยอดถึงที่กำหนด

ทางอเมซอนก็จะทำการจ่ายเงินค่านายหน้าให้ท่าน และหลังจากนั้นจะจ่ายเงินให้ท่านทุกเดือน

หากทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ดอลลาร์ โดยการเงินจ่ายผ่านธนาคารจะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่

10 ดอลลาร์ และถ้าจ่ายเป็นเช็ค จะต้องมียอดเงินขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ดอลลาร์

สร้างบล็อค สร้างรายได้

เมื่อสมัครแล้วก็สามารถสร้าง blog ไว้ใช้งานได้เลยขั้นตอนที่ 1 ให้ท่านเข้าไปในเว็บไซต์ www.blogger.com/start แล้วคลิกที่สร้างบล็อก
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อท่านเข้ามาถึงหน้าสร้างบัญชี Google ก็ให้ท่านกรอกรายการลงไป เฉพาะตรงอีเมล์ก็กรอกอีเมล์ที่ท่านสมัครกับ gmail.com เมื่อกรอกเสร็จและอ่านตรวจทานเรียบร้อยเห็นว่าถูกต้องแล้วก็คลิกที่ “ทำต่อ”
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อเข้ามาถึงหน้าตั้งชื่อ บล็อก ก็ให้ท่านกรอกรายละเอียดให้ครบทุกรายการ ชื่อบล็อกให้ตั้งคล้อยตามบทความของคุณที่จะนำมาใส่ เพื่อให้เป็นอินเตอร์หน่อยก็ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียเลย ส่วนที่อยู่ของเว็บบล็อกจะเป็น URL ที่ท่านจะนำไปสมัครกับ amazon.com Affiliate Program ต้องเป็นภาษาอังกฤษแบบ ตัวเล็กทั้งหมด อาจใช้วิธีนำทุกตัวมาเรียงกัน เช่น เป็นบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย(Economics of Thailand) ก็ใช้เป็น economicsofthailand หรือ เมื่อมีคนใช้แบบนี้ไปก่อนหน้าแล้ว อาจใช้เป็น economics-of-thailand (โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยก็ได้) เมื่อกรอกรายการเสร็จก็คลิกที่”ทำต่อ”
ขั้นตอนที่ 4 เข้ามาถึงหน้าเลือกแม่แบบ ก็ให้เลือกแบบที่คุณชอบ และแม่แบบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นในภายหลังได้ เมื่อเลือกเสร็จคลิกที่ “ทำต่อ”
ขั้นตอนที่ 5 เป็นขั้นตอนเตรียมการ “เริ่มต้นส่งบทความ” สำหรับบทความที่ท่านสามารถก้อปปี้มาใส่นั้น สามารถหาบทความภาษาอังกฤษฟรีตามหัวข้อต่างๆจาก http://www.isnare.com/ ให้ท่านก้อปี้มาเก็บไว้ในMicrosoft word ก่อน แล้วนำมาวางลงในช่องของบทความทีละบทความ จนครบ5 บทความ
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นนำบทความที่เตรียมไว้มาโพสต์ลงในช่องโพสต์บทความ ให้ท่านเอาชื่อบทความนั้นไว้ช่องบนสุด ส่วนเนื้อหาของบทความเอาไว้ช่องใหญ่ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ท่านคลิกที่ “เผยแพร่บทความ”
ขั้นตอนที่ 7 ทางเว็บบล็อกจะแจ้งให้ท่านทราบวด้วยข้อความว่า “เผยแพร่บทความบล็อกของคุณเสร็จสมบูรณ์”ให้ท่านโพสต์แบบเดียวกันนี้ครบ 5 บทความ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำบล็อก
ขั้นตอนที่ 8 ให้ท่านคลิกที่“ดูบล็อก” แล้วดูช่องบนสุดของคอมพิวเตอร์หลังช่อง address ก็จะมี URL ที่มีคำขึ้นต้นว่า http://.....ก็/ให้ท่านก้อปปี้เก็บไว้ใช้อ้างอิงหรือบอกกล่าวเมื่อมีการถามถึง URL บล็อกของท่าน หรือนำไปสมัครเป็นสมาชิกของ amazon.com Affiliate Program ต่อไป

ชี้ช่องรวยด้วยธุรกิจออนไลน์ affiliate program

ยินดีต้อนรับเศรษฐีออนไลน์คนใหม่

Guide2Rich.com
ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมของความรู้ กลเม็ดเคล็ดลับ เทคนิคต่างๆ ตลอดจนวิธีการ
ในการสร้างรายได้จาก Affiliate Program ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนถึงขั้นที่ท่านสามารถ
ลาออกจากงานประจำแล้วมานั่งทำงานที่ห้องนอนของท่านได้เลยครับ



จริงๆแล้วธุรกิจ Affiliate ไม่มีอะไรยากเย็นเลยครับ ขอเพียงคุณมีความพยายามบวกกับความตั้งใจในการทำธุรกิจ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ และมีรายได้ในหลักหมื่น หลักแสน ต่อเดือนได้อย่างแน่นอนครับ และเมื่อคุณประสบความสำเร็จ มีรายได้ตามต้องการแล้ว นั่นแหละครับ ชีวิตที่คุณเคยฝันไว้ก็จะมาถึง เพราะธุรกิจ Affiliate มีข้อดีตรงที่ เราไม่ต้องมีภาระผูกพันธ์มาก และ สามารถมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ แม้เราจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตามครับ อย่างผมเอง เคยทำธุรกิจมาก็หลายอย่าง แต่ไม่เคยมีธุรกิจไหนที่จะทำให้ผมรู้สึกสบาย และทำเงินได้โดยไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ มากเท่ากับธุรกิจ Affiliate Marketing อีกแล้วครับ

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับเจ้า Affiliate Program กันก่อนดีมั้ยครับ
@ Affiliate Program คืออะไร?
Affiliate Program
คือ โปรแกรมการเป็นตัวแทนขายโฆษณาสินค้าหรือบริการ ให้กับบริษัทต่างๆ

ที่เปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย โดยที่ผู้เป็นตัวแทนขายจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าตอบแทนการจ่ายค่าตอบแทนมีหลายรูปแบบ แล้วแต่ข้อตกลงของบริษัท เช่น
1. PPC หรือ Pay Per Click

จ่ายตามจำนวนการคลิกแบนเนอร์โฆษณา

บริษัทที่เราเป็นตัวแทนจะให้เรานำ แบนเนอร์โฆษณาไปติดที่เว็บไซต์ของเรา

แล้วเราจะได้ค่าตอบแทน

เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ click ที่แบนเนอร์ ที่โด่งดังมากก็คือ Google Adsense

https://www.google.com/adsense/login/th


2. PPM หรือ Pay Per Impression

หมายถึง จ่ายตามจำนวนคนเห็นโฆษณา

เช่น บริษัทผู้ลงโฆษณาจะให้เงินเราเป็นจำนวนหนึ่ง

จากการที่เราแสดงแบนเนอร์ครบ 1,000 ครั้ง

3. PPL หรือ Pay Per Lead

หมายถึง จ่ายตามจำนวนการแนะนำ

เพียงเราแนะนำผู้ชมเว็บไซต์ของเราสมัครสมาชิก, กรอกแบบสอบถาม, ทดลองใช้สินค้า

หรือให้ข้อมูลไว้กับผู้ลงโฆษณา หรืออะไรก็ตาม ซึ่งปกติแล้วบริษัทต่าง ๆ

จะจ่ายให้ตามรายชื่อที่สมัคร

4. PPS หรือ Pay Per Sale

หมายถึง จ่ายตามจำนวนการซื้อสินค้า/บริการ

เราจะได้รับค่าตอบแทน ต่อเมื่อเราช่วยบริษัทที่เราเป็นตัวแทนอยู่ขายสินค้าหรือบริการได้

เช่น amazon.com
ในการทำธุรกิจออนไลน์นั้น เราไม่จำเป็นจะต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง

แต่ต้องช่วยให้บริษัทที่เราเป็นตัวแทนอยู่ขายสินค้าได้ ซึ่งเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีทำการตลาด

(Affiliate Marketing)

ที่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้เป็นกอบเป็นกำ

คลังบทความของบล็อก